Latest News

Monday, July 25, 2011

ลิลิตพระลอ ตอน ๑

คำนำ

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ประทานอธิบายเกี่ยวกับหนังสือลิลิตพระลอไว้ในหนังสือบันทึกสมาคมวรรณคดี ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๕ วันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๗

ใครเป็นผู้แต่งลิลิตเรื่องพระลอและแต่งเมื่อไร ปัญหานี้ดูเหมือนจะยังไม่เคยวินิจฉัยกันให้ถ้วนถี่ (ภายหลังต่อมา มีผู้สนใจค้นคว้าวินิจฉัยไว้หลายท่าน) ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องพระลอนี้อีกครั้งหนึ่งเมื่อจะแต่งคำวินิจฉัยนี้ ขอเสนอแก่ท่านทั้งหลายด้วย คือข้างท้ายลิลิตมีโคลงบอกชื่อผู้แต่งอยู่ ๒ บท บทหนึ่งว่า "มหาราชเจ้านิพนธ์" หมายความว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงแต่ง แต่อีกบทหนึ่งว่า "เยาวราชเจ้าบรรจง" หมายความว่าพระราชบุตรของพระเจ้าแผ่นดินทรงแต่ง ที่บอกแย้งกันดังนี้ ส่อให้เห็นว่าผู้ที่แต่งโคลง ๒ บทนั้น เป็น ๒ คน และไม่ใช่ตัวผู้แต่งลิลิตพระลอ โคลง ๒ บท เป็นของแต่งเพิ่มขึ้นแต่ภายหลัง ส่วนผู้แต่งลิลิตเอง ได้กล่าวไว้ในโคลงบานแผนกข้างต้นเรื่องว่า..
"เกลากลอนกล่าวกลการ   กลกล่อม ใจนา
ถวายบำเรอท้าวไท้          ธิราชผู้มีบุญ"
หมายความว่าผู้อื่นแต่งถวายพระเจ้าแผ่นดิน มิใช่พระเจ้าแผ่นดินทรงแต่งเอง เหตุใดผู้แต่งโคลง ๒ บทข้างท้ายลิลิตจึงอ้างว่าพระเจ้าแผ่นดินและพระเยาวราชทรงแต่ง จะลงเนื้อเห็นว่าอ้างโดยไม่มีมูล ก็กระไรอยู่ พิจารณาดูสำนวนที่แต่งก็เห็นได้ ผู้แต่งลิลิตพระลอเป็นผู้รู้ราชประเพณีและการเมือง ต้องเป็นบุคคลชั้นสูงอยู่ในราชสำนัก ประกอบทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญอักษรศาสตร์ ผู้ที่ทรงความสามารถถึงปานนั้นมักเป็นเจ้านาย จะยกตัวอย่างเช่น เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร และ สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นต้น จึงสันนิษฐานว่าผู้แต่งลิลิตพระลอนั้น เมื่อแต่งยังเป็นพระราชโอรส และต่อมาได้รับรัชทายาทเป็นพระเจ้าแผ่นดิน โคลงข้างท้ายลิลิตบทที่ว่า "เยาวราชเจ้าบรรจง" แต่งก่อนโคลงบทที่ว่า "มหาราชเจ้านิพนธ์" เดิมก็เห็นจะแต่งเขียนลงในหนังสือพระลอฉบับของผู้แต่งโคลงนั้น ครั้นเมื่อรวบรวมฉบับชำระหนังสือเรื่องพระลอในกาลครั้งใดครั้งหนึ่ง (อาจจะเมื่อแรกตั้งกรุงรัตนโกสินทร์นี้) พบโคลง ๒ บทนั้น จึงรวบเขียนลงไว้ในฉบับชำระใหม่ด้วยก็เลยติดอยู่
ปัญหาข้อที่ว่าหนังสือลิลิตพระลอแต่งเมื่อไร ข้อนี้ตัดสินได้ทันทีว่า แต่งก่อนรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพราะหนังสือจินดามณีที่พระโหราฯ แต่งในรัชกาลนั้น ได้คัดเอาโคลงลิลิตพระลอ คือบทที่ว่า
o เสียงฦๅเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤาพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ ฯ
มาใช้เป็นแบบโคลง ๔ เพราะเอกโทตรงตามตำราหมดทุกแห่ง นอกจากหนังสือจินดามณี ยังมีเค้าเงื่อนอย่างอื่นเป็นที่สังเกตอีก คือ หนังสือบทกลอนแต่งครั้งกรุงศรีอยุธยา(ว่าตามตัวอย่างที่ยังมีอยู่) ต่างกันเป็น ๓ ตอน
ตอนต้นนับแต่รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมา ชอบแต่งลิลิตกันเป็นพื้น มีลิลิตโองการแช่งน้ำพระพิพัฒนสัตยา ลิลิตเรื่องยวนพ่าย และลิลิตเรื่องพระลอเป็นตัวอย่าง สำนวนทันเวลากันทั้งสามเรื่อง พึงเห็นได้ว่าในสมัยนั้นยังไม่สู้ถือว่าคณะและเอกโทเป็นสำคัญเท่ากับคำ
มาตอนกลางนับตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมา ชอบแต่งโคลงและฉันท์กันเป็นพื้น มีโคลงพระศรีมโหสถ และโคลงกำสรวล กับทั้งโคลงเบ็ดเตล็ตเป็นตัวอย่าง ส่วนฉันท์ก็มีเรื่องสมุทรโฆษและเรื่องอนิรุธเป็นตัวอย่าง
ถึงตอนปลายนับตั้งแต่รัชกาลพระเจ้าบรมโกศ ชอบแต่งกลอนเพลงยาวกันเป็นพื้น ซึ่งตัวอย่างมีอยู่มาก ในกรุงศรีอยุธยาตอนกลางและตอนปลายหาปรากฏว่าแต่งแต่งลิลิตเรื่องใดไม่
จึงเห็นว่าควรถือเป็นยุติได้ว่า ลิลิตเรื่องพระลอนั้นแต่งในกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ราวในระหว่าง พ.ศ. ๑๙๙๑ จน พ.ศ. ๒๐๒๖ ส่วนผู้แต่งนั้น จะว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์ใดยากอยู่ ด้วยจะเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ หรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ หรือสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร พระองค์ใดพระองค์หนึ่งก็ได้ทั้งนั้น เป็นอันรู้ไม่ได้แน่"

ลิลิตพระลอนี้ ฉบับเก่าที่สุดที่พบ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอักษรสาสนโสภณ จัดพิมพ์ขึ้นที่โรงพิมพ์หลวง ไม่ปรากฏ พ.ศ. ที่พิมพ์ ต่อมา หอสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครได้ให้ตีพิมพ์เผยแพร่ตามฉบับโรงพิมพ์หลวงครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ ที่โรงพิมพ์ไทย ต่อมาสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวีพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โปรดให้พิมพ์ครั้งที่สอง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ ที่โรงพิมพ์โภณพิพรรฒธนากร ...
... ฯลฯ... ครั้งนี้นับเป็นพิมพ์ครั้งที่สิบสี่ การพิมพ์ทุกครั้งได้ใช้ฉบับ พ.ศ. ๒๔๖๙ ซึ่งพิมพ์ตามฉบับโรงพิมพ์หลวง ครั้งรัชกาลที่ ๕ มีตัวสะกดการันต์ผิดเพี้ยนบ้างเล็กน้อย ในฉบับโรงพิมพ์หลวงและฉบับพิมพ์ต่อมาทุกครั้ง เขียนชื่อเมืองของพระเพื่อนพระแพงเป็น ๒ อย่าง คือตอนแรกเขียนว่า"เมืองสรวง" (ซ้ำกับชื่อเมืองของพระลอ) ดังนี้ ... พระบาทเจ้าเมืองสรวง สมบัติหลวงสองราชา... แต่ตอนหลังเขียนว่า "เมืองสอง" หรือ "เมืองสรอง" ตลอด ในคราวพิมพ์คราวนี้ ได้ลองตรวจดูในฉบับเขียนสมุดดำอันมีอยู่ในหอสมุดวชิรญาณ ปรากฏว่า ตอนที่ฉบับพิมพ์ทั้ง ๒ เขียนว่า "เมืองสรวง" นั้น ในสมุดดำที่ได้ตรวจดูถึง ๗ ฉบับ เขียนว่า "เมืองสรอง" ดังนี้ ... พระบาทเจ้าเมืองสรอง สมบัติหลวงสองราชา... และต่อๆไปก็เขียนว่า "เมืองสรอง" ทุกแห่ง     อนึ่ง โคลงบทสุดท้ายในเรื่องพระลอนี้ ที่ว่ามีผู้แต่งเพิ่มเติมขึ้นภายหลังนั้น โคลงบาทที่ ๑ ในฉบับพิมพ์ทั้ง ๒ เล่ม เขียนว่า "จบเสร็จเยาวราชเจ้า บรรจง" แต่ฉบับเขียนในสมุดดำที่ได้ตรวจดู ๗ ฉบับนั้น เขียนว่า "จบเสร็จมหาราชเจ้า บรรจง" เหมือนกันทุกฉบับ ... ... ฯลฯ




สรรเสริญกรุงศรีอยุธยา
__________________________

ร่าย
o ศรีสิทธิฤทธิไชย ไกรกรุงอดุงเดชฟุ้งฟ้า หล้ารรัวกลัวมหิมา รอาอานุภาพ ปราบทุกทิศฤทธิรุกราน ผลาญพระนคร รอนลาวกาวตาวตัดหัว ตัวกลิ้งกลาดดาษดวน ฝ่ายข้างยวนแพ้พ่าย ฝ่ายข้างลาวประไลย ฝ่ายข้างไทยไชเยศร์ คืนยังประเทศพิศาล สำราญราษฎร์สัมฤทธิ พิพิธราชสมบัติ พิพัฒนมงคล สรพสกลสิมา ประชากรเกษมสุข สนุกทั่วธรณี พระนครศรีอโยธยา มหาดิลกลภ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมยศโยคยิ่งหล้า ฟ้าฟื้นฟึกบูรณ์ ฯ

โคลง ๔
o บุญเจ้าจอมโลกเลี้ยง
โลกา
ระเรื่อยเกษมสุขพูน
ใช่น้อย
แสนสนุกอโยธยา
ฤๅร่ำ ถึงเลย
ทุกประเทศชมค้อยค้อย
กล่าวอ้างเยินยอ ฯ
o รู้มลักสรพศาตร์ถ้วน
หญิงชาย
จักกล่าวกลอนพระลอ
เลิศผู้
ไพเราะเรียบบรรยาย
เพราะยิ่ง เพราะนา
สมปี่ลู้เสียงลู้
ล่อเล้าโลมใจ ฯ
o สรวลเสียงขับอ่านอ้าง
ใดปาน
ฟังเสนาะใดปูน
เปรียบได้
เกลากลอนกล่าวกลการ
กลกล่อม ใจนา
ถวายบำเรอท้าวไท้
ธิราชผู้มีบุญ ฯ

คือสองนครา
คือเหตุแห่งพยาบาท

เจ้าเมืองสรวงรุกรานจะเอาสรองเปนเมืองขึ้น
การนี้แม้มิสำเร็จ แต่เจ้าเมืองสรองก็ "ขาดคอช้าง"
จวบจนพระลอเสวยราช... ลือขจร
__________________________



ร่าย
o กล่าวถึงขุนผู้ห้าว นามท่านท้าวแมนสรวง เป็นพระยาหลวงผ่านเผ้า เจ้าเมืองสรวงมีศักดิ์ ธมีอัคเทพีพิลาศ ชื่อนางนาฎบุญเหลือ ล้วนเครือท้าวเครือพระยา สาวโสภาพระสนม ถ้วนทุกกรมกำนัล มนตรีคัลคับคั่ง ช้างม้ามั่งมหิมา โยธาเดียรดาษหล้า หมู่ทกล้าทหาร เฝ้าภูบาลนองเนือง เมืองออกมากมียศ ท้าวธมีโอรสราชโปดก ชื่อพระลอดิลกล่มฟ้า ทิศตวันออกหล้า แหล่งไล้สีมา ท่านนา ฯ

ร่าย
o มีพระยาหนึ่งใหญ่ ธไซร้ทรงนามกร พิมพิสาครราช พระบาทเจ้าเมืองสรอง สมบัติหลวงสองราชา มีมหิมาเสมอกัน ทิศตวันตกไท้ท้าว อคร้าวครอบครองยศ ท้าวธมีเอารสราชฦๅไกร ชื่อท้าวพิไชยยพิษณุกร ครั้นลูกภูธรธใหญ่ไซร้ ธก็ให้ไปไต่ไปถาม นางนามท้าวนามพระยา ชื่อเจ้าดาราวดี นางมีศรีโสภา เป็นนางพระยาแก่ลูกไท้ ลูกท้าวธได้เมียรัก ลำนักเนตรเสนหา อยู่นานมามีบุตร สุดสวาทกษัตริย์สององค์ ทรงโฉมจันทรงามเงื่อน ชื่อท้าวเพื่อนท้าวแพง จักแถลงโฉมเลิศล้วน งามถี่พิศงามถ้วน แห่งต้องติดใจ บารนี ฯ

ร่าย
o เมื่อนั้นไท้แมนสรวง พระยาหลวงให้หา หัวเมืองมาริปอง ว่าเมืองสองกษัตริย์กล้า อย่าช้าเราจะรบ ชิงพิภพเป็นเมืองออก เร่งบอกให้เรียบพล นายกคณชุมกัน ครันเทียบพลเศิกเสร็จ ท้าวธเสด็จพยุบาตร ลีลาศจากพระนคร คลี่นิกรพลพยู่ห์ สู่แดนศึกบมิช้า เดียรดาษพลช้างม้า เพียบพื้นภมิน ฯ

ร่าย
o ส่วนนรินทรราชา พิมพิสาครราช พระบาทครั้นได้ยิน ว่าภูมินทรแมนสรวง ยกพลหลวงมากระทั่ง ท้าวธก็สั่งคนออกรับ ตับตามกันเดียรดาษ พระบาทเสด็จบมิช้า พลหัวหน้าพะกัน แกว่งตาวฟันฉฉาด แกว่งดาบฟาดฉฉัด ซร้องหอกซัดยยุ่ง ซร้องหอกพุ่งยย้าย ข้างซ้ายรบบมิคลา ข้างขวารบบมิแคล้ว แกล้วแลแกล้วชิงข้า กล้าแลกกล้าชิงขัน รุมกันพุ่งกันแทง เข้าต่อแย้งต่อยุทธ์ โห่อึงอุจเอาชัย เสียงปืนไฟกึกก้อง เสทือนท้องพสุธา หน้าไม้ดาปืนดาษ ธนูสาดศรแผลง แขงต่อแขงง่าง้าง ช้างพะช้างชนกัน ม้าผกผันคลุกเคล้า เข้ารุกรวนทวนแทง รแรงเร่งมาหนา ถึงพิมพิสาครราช พระบาทขาดคอช้าง ขุนพลคว้างขวางรบ กันพระศพกษัตรีย์ หนีเมื้อเมืองท่านไท ครั้นพระศพเข้าได้ ลั่นเขื่อนให้หับทวาร ท่านนา ฯ

ร่าย
o งารรักษาพระนคร ท้าวพิไชยพิษณุกรกันเมืองได้ ไท้แมนสรวงเสด็จคืน ท้าวพิไชยยืนครองพิภพ ปลงศพพระราชบิดาแล้วไส้ ธก็ให้สองพงาหน่อเหน้า ไปอยู่ด้วยย่าเจ้าวังเดียว กับสองนางเฉลียวฉลาด พี่เลี้ยงราชธิดา โดยธตราชื่อชื่น ชื่อนางรื่นแลนางโรย โดยรักษาสองอ่อนท้าว สองสมเด็จเสด็จด้าว สู่ห้องเรือนหลวง ท่านแล ฯ

ร่าย
o เมื่อนั้นไท้แมนสรวง พระยาหลวงผู้มีศักดิ์ ให้ไปกล่าวนางลักษณวดี นางมีศรีสวัสดิ์ลออ ให้แก่พระลอดิลก ยกเป็นอัคมหิษี มีบริพารพระสนม ถ้วนทุกกรมกำนัล ประกอบสรรพสมบูรณ์ จึ่งนเรนทร์สูรราชบิดา สวรรคาลัยแล้วเสด็จ พระลอเสด็จเสวยราช โฉมอภิลาสสระสม ดินฟ้าชมบรู้แล้ว โฉมพระลอเลิศแก้ว กว่าท้าวแดนดิน แลนา ฯ


คือ ขุนลอ

ตอนนี้พรรณาถึงรูปโฉมพระลอได้อย่างเห็นภาพ... "ประเสริฐสรรพสรรพางค์ แต่บาทางค์สุดเกล้า พระเกศงามล้วนเท้า พระบาทไท้งามสม สรรพนา"
ครูพยงค์ มุกดาพันธ์ ได้ประพันธ์เพลง "ยอยศพระลอ" โดยใช้โคลงบทแรก คือ "รอยรูปอินทร์หยาดฟ้า มาอ่าองค์ในหล้า แหล่งให้คนชม" มาเป็นต้นบทเกริ่นของเพลง โดยใช้ทำนองเพลงที่ดัดแปลงมาจากเพลงไทยเดิมชื่อ "ลาวกระทบไม้" ให้ "ชินกร ไกรลาศ"  เปนผู้ขับร้องประกอบในภาพยนต์เรื่อง "พระลอ"
เพลง "ยอยศพระลอ" นี้ทำให้ "ชินกร ไกรลาศ" ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำ ("ชินกร ไกรลาศ" นายชิน ฝ้ายเทศ ได้รับตำแหน่งศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง นักร้องเพลงลูกทุ่ง ใน พ.ศ. ๒๕๔๒)

________________________________

โคลง ๒
    o รอยรูปอินทรหยาดฟ้า
มาอ่าองค์ในหล้า
แหล่งให้คนชม
แลฤๅ ฯ
    o พระองค์กลมกล้องแกล้ง
เอวอ่อนอรอรรแถ้ง
ถ้วนแห่งเจ้ากูงาม
บารนี ฯ
    o โฉมผจญสามแผ่นแพ้
งามเลิศงามล้วนแล้
รูปต้องติดใจ
บารนี ฯ
    o ฦๅขจรในแหล่งหล้า
ทุกทั่วคนเที่ยวค้า
เล่าล้วนยอโฉม
ท่านแล ฯ
    o เดือนจรัสโพยมแจ่มฟ้า
ผิบได้เห็นหน้า
ลอราชไซร้ดูเดือน
ดุจแล ฯ
    o ตาเหมือนตามฤคมาศ
พิศคิ้วพระลอราช
ประดุจแก้วเกาทัณฑ์
ก่งนา ฯ
  o พิศกรรณงามเพริศแพร้ว
กลกลีบบงกชแก้ว
อีกแก้มปรางทอง
เทียบนา ฯ
    o ทำนองนาสิกไท้
คือเทพนฤมิตไว้
เปรียบด้วยขอกาม ฯ

    o พระโอษฐ์งามยิ่งแต้ม
ศศิอยู่เยียวยะแย้ม
พระโอษฐ์โอ้งามตรู
บารนี

ร่าย
o พิศดูคางสระสม พิศศอกลมกลกลึง สองไหล่พึงใจกาม อกงามเงื่อนไกรสร พระกรกลงวงคช นิ้วสลวยชดเล็บเลิศ ประเสริฐสรรพสรรพางค์ แต่บาทางค์สุดเกล้า พระเกศงามล้วนเท้า พระบาทไท้งามสม สรรพนา ฯ


พระเพื่อนพระแพงยินกิตติศัพท์รูปโฉมพระลอ บังเกิดจิตโหยหาจนได้ไข้

แต่ด้วยเปนหญิง จึงมิอาจเอ่ยปากแพร่งพรายเอิกเกริก พี่เลี้ยงทั้งสอง คือนางรื่นแลนางโรยจึงวางอุบาย โดยจะใช้คนไปกระพือข่าวรูปโฉมอันพิลาศล้ำของพระเพื่อนพระแพงให้ยินถึงหูพระลอก่อน แล้วจึงหาผู้ทรงอาคมให้ใช้เวทมนต์ ทำเสน่ห์เรียกพระลอมาสู่สรอง "..ให้ลอบลองเท้าแล้ อยู่ได้ฉันใด"
เคยมีโคลงบทหนึ่งถูกนำมาเปนตัวอย่างให้ท่องจำ เพื่อจดจำตำแหน่งบังคับ เอก โท ของ โคลง ๔ สุภาพ ได้แก่บทที่พระเพื่อน พระแพง กล่าวตอบเปนนัยแก่พี่เลี้ยงทั้งสอง อันขึ้นต้นว่า.. "เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย..."

"ซอ" ในที่นี้ แลตลอดทั้งเรื่อง เปนการขับลำนำแบบล้านนาอย่างหนึ่ง
ลอง = ใช้อาคมเรียกให้มาหา (ภาษาล้านนา อีกคำหนึ่งที่ "ขุนมน" เคยได้ยินแต่ยังเด็ก คือ ตู้ หมายถึงการเสกของเข้าตัวคน เช่น เสกหนังควายเข้าท้อง)
________________________________

โคลง ๔
    o ขับซอยอราชเที้ยร
ทุกเมือง
ฦๅเล่าพระลอเลือง
ทั่วหล้า
โฉมบาบพิตรเปลือง
ใจโลก
สาวหนุ่มฟังเป็นบ้า
อยู่เพี้ยงโหยหน ฯ
    o เล่าฦๅโฉมท้าวทั่ว
เมืองสรอง
ขจรข่าวถึงหูสอง
พี่น้อง
รทวยดุจวัลย์ทอง
ครวญใคร่ เห็นนา
โหยลห้อยในห้อง
อยู่เหยี้ยมฟังสาร ฯ
    o พระแพงพระเพื่อนเพี้ยง
พิศวง
นับอยู่ในใจจง
จอดไท้
มลักเห็นดอกกลหลง
ฉงนเงื่อน อยู่นา
อกอ่อนรทวยไหม้
สรากหน้าตาหมอง ฯ
    o นางโรยนางรื่นขึ้น
ไปเยือน
เห็นราชสองหมองเหมือน
ดั่งไข้
ทุกวันดุจดวงเดือน
งามชื่น ไส้นา
หมองดั่งนี้ข้าไหว้
บอกข้าขอฟัง หนึ่งรา ฯ
    o ผิวไข้พูนพยาธิไซร้
ยาหาย ง่ายนา
ไข้หลากทั้งหลายใคร
ช่วยได้
ไข้ใจแต่จักตาย
ดีกว่า ไส้นา
สองพี่นึกในไว้
แต่ถ้าเผาเผือ

โคลง ๒
    o ข้าฟังเหลือที่พร้อง
สองสมเด็จพระน้อง
กล่าวนี้กลใด ฯ

    o ใดขัดใจแม่ ณ เกล้า
สองสมเด็จพระเจ้า
บอกไว้งารเผือ ฯ


ร่าย
o เจ็บเผือเหนือแผ่นดิน นะพี่
หลากระบิลในแหล่งหล้า นะพี่
บอกแล้วจะไว้หน้าแห่งใด นะพี่
ความอายใครช่วยได้ นะพี่
อายแก่คนไส้ท่านหัว นะพี่
แหนงตัวตายดีกว่า นะพี่
เจ็บเผือเหลือแห่งพร้อง นะพี่
โอ้เอ็นดูรักน้อง อย่าซ้ำจำตาย หนึ่งรา ฯ

ร่าย
o ข้าไหว้ถวายชีพิต เผือข้าชิดข้าเชื่อ เขือดังฤๅเหตุใด ธมิไว้ใจเท่าเผ้า สองแม่ณหัวเจ้า มิได้เอ็นดูเผือฤๅ ฯ

โคลง ๔
o เสียงฦๅเสียงเล่าอ้าง
อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร
ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล
ลืมตื่น ฤาพี่
สองพี่คิดเองอ้า
อย่าได้ถามเผือ ฯ
    o สิ่งนี้น้องแก้วอย่า
โศกา ณ แม่
เผือจักขออาสา
จุ่งได้
ฉันใดราชจักมา
สมสู่ สองนา
จักสื่อสารถึงไท้
หากรู้เปนกล ฯ
    o ความคิดผิดรีตได้
ความอาย พี่เอย
หญิงสื่อชักชวนชาย
สู่หย้าว
เจ็บเผือว่าแหนงตาย
ดีกว่า ไส้นา
เผือหากรักท้าวท้าว
ไป่รู้จักเผือ ฯ
    o ไป่ห่อนเหลือคิดข้า
คิดผิด แม่นา
คิดสิ่งเปนกลคิด
ชอบแท้
มดหมอแห่งใดสิทธิ์
จกสู่ ธแม่
ให้ลอบลองเท้าแล้
อยู่ได้ฉันใด ฯ


ร่าย
o ข้าจะใช้ชาวในผู้สนิท ชิดชอบอัชฌาไสย ไปซื้อขายวายล่อง แล้วให้ท่องเที่ยวเดิร สรรเสริญสองโฉมศรี ทั่วบุรีพระลอ ขับซอยอยศอ้าง ฤๅลูกกษัตริย์เจ้าช้าง ชื่นแท้ใครเทียม เทียบนา ฯ

คือ พระเพื่อน พระแพง

    แผนประโคมสิริโฉมเพื่อนแพงสัมฤทธิ์ผล
คนของสรองเที่ยวขับซอสรรเสริญความงามพร้อมของพระเพื่อนพระแพง จนทราบถึงพระลอ
พระลอให้คนของเมืองสรองเข้าเฝ้า เมื่อฟังคำพรรณาถึงรูปโฉมพระเพื่อนพระแพงแล้วบังเกิดจิตเสนหา ฝากความนัยไปยังสองศรี พระกรเกยผากไท้ มือลูบทรวงไล้ไล้ ทำเล่ห์ให้เขาเห็น
    เปนอันสำเร็จแผนขั้นต้นของนางรื่นนางโรย

    ในตอนยอสิริโฉมสองศรีแห่งสรองนี้ กรมศิลปากร โดยหม่อมแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ได้ปรับปรุงประดิษฐ์ท่ารำขึ้นมาใช้ในการแสดงนาฏศิลป์ไทยในชุด "ตับลาวเจริญศรี" ชื่อ "ลาวเจริญศรี" (ทำนองเพลง ลาวเล็กตัดสร้อย) เนื้อหาพรรณาถึงความงามของพระเพื่อนพระแพง
    "ตับลาวเจริญศรี" จางวางทั่ว พาทยโกศล เป็นผู้เรียบเรียงนำมาขับร้องบรรจุเพลงเป็นคนแรก ประกอบด้วยเพลง เกริ่น ลาวเล็กตัดสร้อย ลาวเล่นน้ำ สาวกระตุกกี่ กระแตเล็ก เกริ่น ดอกไม้เหนือ ลาวเฉียง ลาวครวญ ลาวกระแช

________________________________

โคลง ๔
o ทุกเมืองมีลูกท้าว
นับมี มากนา
บเปรียบสองกษัตรีย์
พี่น้อง
พระแพงแม่มีศรี
สวัสดิ์ยิ่ง คณนา
พระเพื่อนโฉมยงหย้อง
อยู่เพี้ยงดวงเดือน ฯ
    o โฉมสองเหมือนหยาดฟ้า
ลงดิน
งามเงื่อนอัปสรอินทร์
สู่หล้า
อย่าคิดอย่าควรถวิล
ถึงยาก แลนา
ชมยะแย้มทั่วหน้า
หน่อท้าวมีบุญ ฯ
    o หมื่นขุนถ้วนหน้าส่ำ
หัวเมือง ก็ดี
อย่าใคร่อย่าคิดเคือง
สวาทไหม้
สมภารส่งสองเรือง
สองรุ่ง มานา
สองราชควรท้าวไท้
ธิราชผู้มีบุญ ฯ


โคลง ๒
o ยอยศสองอ่อนท้าว
ฦๅทั่วทุกแดนด้าว
ลอราชได้ฟังสาร ฯ

    o ฟังตระการอยู่เกล้า
ให้เร่งเบิกเขาเข้า
มาสู่โรงธาร
ท่านแล ฯ
    o ฟังสารสองหนุ่มหน้า
จอมราชควรคิดอ้า
อกร้าวหัวใจ
ท่านนา ฯ
    o มลักนึกในคแคล้ว
ผิพี่มีบุญแก้ว
พี่เพี้ยงไปสม
เจ้านา ฯ


ร่าย
    o ชมข่าวสองพี่น้อง ต้องหฤทัยจอมราช พระบาทให้รางวัล ปันเสื้อผ้าสนอบ ขอบใจสูเอาข่าว มากล่าวต้องติดใจ บารนี ฯ

โคลง ๒
    o ฉันใดกูจักได้
สมพระนุชน้องไท้
อ่อนท้าวทั้งสอง ฯ

    o ท้าวธจำนองโคลงอ้าง
โคลงบพิตรเจ้าช้าง
ชื่อแท้ใดเทียม
เทียบนา ฯ

โคลง ๔
    o เรียมฟังสารอ่านอ้าง
อันผจง กล่าวนา
ถนัดดั่งเห็นองค์
อะเคื้อ
สองศรีสมบูรณ์บง
กชมาศ กูเอย
นอนแนบสองข้างเนื้อ
แนบเนื้อชมเชย ฯ



โคลง
    o พระกรเกยผากไท้
มือลูบทรวงไล้ไล้
ทำเล่ห์ให้เขาเห็น ฯ


ร่าย
    o เปนปฤศนาแล้วไส้ ธก็ให้เลี้ยงดูโดยขนาด เขาก็ลาพระบาทเมื้อเมือง หน้ารุ่งเรืองชมชื่น ไปบอกแก่นางรื่นนางโรย โดยยุบลทุกสิ่ง จึงสองนางพี่เลี้ยง ทูลแด่สองเนื้อเกลี้ยง ถี่ถ้วนสารแสดง ฯ


นางรื่นนางโรยเสาะหาผู้ทรงเวทมนต์
ให้ช่วยใช้อวิชชาอาคมชักนำพระลอ

    ทว่า ส่วนใหญ่เปนแต่แม่มดหมอผีทำเสน่ห์ ที่ใช้อาคมได้ก็แต่ต่อคนชั่วต่ำช้า เท่านั้น
ทีจักกระทำต่อผู้เปี่ยมบุญบารมีเฉกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินนั้น หาได้ไม่
    มีปู่หมอใหญ่อาสาพาไปขอความช่วยเหลือจาก "ปู่เจ้าสมิงพราย" ซึ่งเปนผู้เดียวที่อาจทำได้ ... "ธว่าให้ตายก็ตายทันเห็น ธว่าให้เปนก็เปนทันใจ จะลองใครใครก็มา..."

เขียว, เคียว, เครียว (โบราณ) = รีบไป, รีบมา
________________________________

ร่าย
     o จึ่งแสวงหายายมด ไปจรดผู้ยายำ จำเอาแต่ผู้สิทธิ์ รู้ชิดใช้กลคล่อง บอกทำนองทุกอัน ครันธช่วยลุไส้ ตูจะให้ลาภจงครัน จะให้รางวัลจงพอ ครั้นพระลอสมสองแล้ว อยู่ช่างยายมดแก้ว อะคร้าวใดปาน เปรียบเลย ฯ

โคลง ๓
    o ยายฟังสารยายส่ายหัว
ยายเคยลองแต่ตัวชั่วตัวช้า
ยายจักลองเจ้าหล้า
บ่ได้หลานเอย ฯ

โคลง ๒
    o ยายเคยใครอย่าไส้
ยายช่วยยายชักให้
ถ่องแท้จักไป
สู่นา ฯ

ร่าย
    o ยายว่าเยียกระใดเขาทุกผู้ ตูรู้จักเขาทั่วหน้า ย่อมชั่วช้ามิเปนกล เห็นแต่ตูสามคนแก่แม่มดเถ้า แก่เจ้าแม่มดใหญ่ จะลองใครใครก็มา จะหาใครใครก็เต้า เว้นแต่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ธรู้ศิลป์รู้ศาสตร์ ธมีอำนาจมีบุญ คุณตูไกลท่านไท้ สองราชนั้นฤๅได้ อาจยื้อฤๅถึง เลยนา ฯ
ร่าย
    o ดังจึงตูจะรู้จัก หมอสิทธิศักดิ์สามคน รู้พระมนต์มีฤทธิ์ ลูกศิษย์ปู่สมิงพราย ยายก็นำไปบอก ถึงจรอกหมอแล้วมา ข้าก็เข้าไปสู่ ปู่หมอเฒ่าเจ้าหมอหลวง บำบวงบอกทุกประการ วานธช่วยกังวน หมอกล่าวกลยายมด ตูนี้ยศยังต่ำ ลองแต่ส่ำพอดี พอแรงผีแรงมนต์ เจ้าสากลผ่านหล้า หน้าผู้ใดจะลองลุ สนองนางทุทรฮู ว่าธเอนดูรู้จัก ผู้มีศักดิ์มีสิทธิ์ ผู้มีฤทธิ์มีอำนาจ อาจลองธมาได้ ตูจะให้ลาภจงเต็มกอง ตูจะให้ทองจงเต็มโกฏิ ทั้งผู้บอกโสตรจะรางวัล เชิญบอกพลันอย่าช้า จงดูรู้จักหน้า ท่านให้เต็มใจ หนึ่งรา ฯ

ร่าย
    o หมอว่าในใต้ฟ้า ทั่วแหล่งหล้าผู้ใด ใครจักเทียมจักคู่ ปู่เจ้าปู่สมิงพราย ธว่าให้ตายก็ตายทันเห็น ธว่าให้เปนก็เปนทันใจ จะลองใครใครก็มา จะหาใครใครก็บอยู่ จะไปสู่ท่านไส้ ไว้ตูจะนำไป เถ้าว่าทางไกลจรล่ำ วันนี้ค่ำสองนางเมือ พรุ่งเช้าเขือเขียวมา สองนางลาสองเถ้า ไปบอกแก่สองเจ้า สองอ่อนเท้ายินดี ยิ่งนา ฯ


วางอุบายขออนุญาตเข้าป่า
เตรียมขึ้นเขาหาปู่เจ้าสมิงพราย

   
พระเพื่อนพระแพงแสดงปฤศนาให้ทราบเล่ห์วิธี ด้วยมิกล้าออกปาก (เปนพระราชธิดา ไหนเลยจะออกปากบอกเล่ห์เหลี่ยมโกหกคดโกงตรงๆได้) สองพี่เลี้ยงตีความออก ไปหลอกพระย่าและพระบิดาพระมารดาว่า พระเพื่อนพระแพงได้ไข้ขวัญหนีเข้าป่าเขา จำต้องตามเข้าไปรับขวัญกลับสู่เกล้าโดยเร็วพลันในเช้าวันพรุ่ง
   
เบิกช้างต้นชื่อ เทียมลม กับ พระพาย ไปรับพ่อปู่หมอใหญ่ เตรียมขึ้นเขาขอปู่เจ้าสมิงพรายช่วยเหลือ
________________________________

โคลง ๔
    o สองศรีเสาวภาคย์ได้
ฟังสาร
ถนัดดั่งพระภูบาล
จักเต้า
คือสุริยส่องบัวบาน
สรดร่อ กันนา
เกรงเกลือกเยียวความเร้า
รั่วรู้ฤาดี ฯ
    o สองกรกลเกียดเกี้ยว
กรรชิด
แสร้งใส่กลปกปิด
เงื่อนไว้
ความขำซ่อนซอนมิด
งำแง่ งามนา
เอาชอบลอบปนให้
แปลกร้ายเปนดี ฯ
    o พี่เลี้ยงเห็นเล่ห์แล้ว
ยินฉงน อยู่นา
สองใส่กลเหนือกล
ใช่น้อย
ไหว้พระย่ายังยล
หลานราช ฤๅแม่
สองอยู่สองเศร้าสร้อย
สรากหน้าตาหมอง ฯ
    o หมอดูหมอว่าให้
รับขวัญ
ขวัญอ่อนเขจรจรัล
จิ่มฟ้า
ขวัญเที่ยวทั่วแดนบรร-
พตป่า ดงนา
ให้รับขวัญอย่าช้า
พรุ่งเช้าวันดี ฯ
    o ย่าเจ้าฟังข่าวร้อน
อาดูร เดือนนา
เขือเร่งเร็วไปทูล
แด่ไท้
พระภูบดินทร์สูรย์
บิตุราช สองนา
ข้าพี่เลี้ยงไปไหว้
บอกท้าวทุกอัน ฯ
    o ครั้นฟังธิราชร้อน
รนใจ อยู่นา
หมอจักเอาอันใด
เร่งให้
ไปเรียกรับขวัญใน
เขาปู่ พระเอย
หมอสั่งเขือข้าได้
ชอบช้างตัวเร็ว ฯ
    o เขือไปอุปกาศแล้ว
เขือมา
ทูลแด่สองธิดา
อยู่เกล้า
สองฟังหฤหรรษา
ชมชื่น ใจนา
สองพี่เร็วไปเช้า
ช่วยน้องจงพลัน ฯ
    o เบิกเอาช้างต้นชื่อ
เทียมลม ธพี่
กับพระพายพลันสม
ชื่อแท้
เทียมใจเลิศแลชม
ฝีย่าง มันนา
เร็วเร่งเร็วนักแล้
เลิศด้วยเดิรพลัน ฯ


โคลง ๒
    o ไก่ขันเขียวผูกช้าง
มาเทียบทั้งสองข้าง
แนบข้างเกยนาง ฯ

    o ไป่ทันสารสั่งไท้
พระแต่งจงสรรพไว้
เยียวปู่เจ้าเรามา ฯ

    o เผือจักลาแม่ ณ เกล้า
จักอยู่เยียวจนรุ่งเช้า
จักช้าทางไกล ฯ



ร่าย
    o
ขึ้นช้างไปผผ้าย มาคคล้ายโดยทาง ถับถึงกลางจรอกปู่ หมอเถ้าอยู่แลเห็น แสร้งแปรเปนโฉมมลาก เปนบ่าวภาคบ่าวงาม สองถึงถามหาปู่ ปู่หัวอยู่ยแย้ม ข้อยว่าสองแฉล้ม มาแต่ด้าว แดนใด

โคลง ๒
    o สองคะนึงในใคร่รู้
ลูกหลานปู่ฤๅผู้
อื่นโอ้ไป่งาม
บารนี ฯ
    o กามกรรหายยั่วข้าง
คิดแต่จักช้าช้าง
ท่านไส้จักเปน
ป่วยนา ฯ

ร่าย
    o
บนานเห็นปู่ รูปเถ้าอยู่ดูหลาก สองประจากษ์ตกใจ ใครจักปูนปู่ได้ ปู่ช่วยสองลูกไท้ แต่นี้ฤๅไป อื่นเลย ฯ

โคลง ๓
    o เสียไฟเป่าหิ่งห้อย
แรงปู่นี้รู้น้อย
เผือไป่เลยนอ ฯ



ในรายทางสู่เขาเขียว
สองพี่เลี้ยงพบปู่เจ้าสมิงพราย

   
บรรยายบรรยากาศทั่วไป กล่าวถึงไม้ไล่แต่สังเขป(จะมีโดยพิศดารตอนอื่น) ตอนนี้เน้นถึงประดาสัตว์ร้ายที่ล้วนน่าสะพรึงกลัว ซึ่งเปนสิ่งอันปู่เจ้าสมิงพรายดลให้เปนไป ให้เห็น
   
พ่อหมอเฒ่าพาพี่เลี้ยงทั้งสองเข้าพบปู่เจ้าสมิงพราย
"
หึง" = นาน     บหึง, บ่มิหึง = ไม่นาน
"
ทำงน" (เขมร) = ก.ห่วงใย,ยุ่งใจ   น.ความทุกข์ใจ, ภาระ)
________________________________

ร่าย
 o เชิญปู่หมอขึ้นขี่ ขับช้างปรี่ปรึงตาม ทั้งสามไปรร่าย บ่ายหน้าสู่เขาเขียว เหลียวแลทางจรลิ่ว เหลียวแลทิวเทินป่า ฝ่าแฝกแขมแกมเลา ดงประเดาประดู่ หมู่ไม้ยางไม้ยูง ตเคียนสูงสุดหมอก พยอมดอกมุ่งเมฆ อเนกไม้หลายพรรณ มีวัลย์เวียนเกี้ยวกิ่ง ไม้แมกมิ่งใบรบัด ลมพานพัดรลอก ดอกดวงพวงเผล็ดช่อ กระพุ่มห่อเกสร สลอนบุษบาบาน ตระการกลิ่นหอมหื่น ชื่นซรุกลูกเหลืองล่อน ใบอ่อนต้นลำอ้อน กิ่งก้านแกมงาม ฯ



ร่าย
    o
ตามกันไปบหึง ถึงตีนเขาแต่ล่าง แลลิงค่างบ่างชนี ผีผิ่วร้องน่ากลัว หัวหูพองอยู่คร้าม เสือสางด้ามด้อมทาง แรดควายขวางขวัดอยู่ หมู่กระทิงเที่ยวป่า วัวลานล่าเล็มไพร หมู่หมีไปคคล้าย นางช้างผ้ายคคล่ำ บรู้กี่ส่ำตามสาร งูพพานพิษกล้า งูเหลือมคว้ารัดควาย เยียงผาผายปีนป่าย ฝ่ายช้างพังเซราซรึก สัตว์พันฦกพันลาย หมอมิกลัวกลายจรคล่าย เข้าป่าไปคลายคล้าย ด่วนดั้นโดยทาง ฯ

ร่าย
o เอนดูสองนางตกใจกลัว รรัวหัวอกสั่น ลั่นททึกททาว สราวตามหมอผะผ้ำ เห็นแนวน้ำบางบึง ชรทึงธารห้วยหนอง จระเข้มองแฝงฝั่ง สรพรั่งหัวขึ้นขวักไขว่ ช้างน้ำไล่แทงเงา เงือกเอาคนใต้น้ำ กระล่ำตากระเหลือก กระเกลือกกลอกตากลม ผมกระหวัดจำตาย ฝ่ายหนปลายไม้แมก ฟังเสียงแสรกเง้างูด ทิ้งทูดบ่นพพึมเสียง เค้ากู่เคียงคู่ร้อง ก้องดงดุจตระหวาด ผาดฟังตกใจกลัว หมอเถ้าหัวไปพลาง โลมสองนางอย่าตกใจ บเปนใดดอกนะแม่ กระแหน่นี้นะเจ้า พระปู่เราหากทำเอง หมอมิกลัวเกรงสักสิ่ง ขับช้างวิ่งขึ้นเขา เคร่ากันไปบหึง ถับถึงแต่ตีนเขา หมอเถ้าลงจากช้าง ไว้สองนางอยู่แต่ไกล หมอจึงเข้าไปสู่ ปู่เจ้าปู่เจ้าสมิงพราย ถึงถวายกรกราบไหว้ บอกว่าพระหลานไท้ เพื่อนท้าวแพงทอง ฯ

โคลง ๒
    o ทำงนสองเท่าฟ้า
มาบำบวงให้ข้า
นำพี่เลี้ยงสองมา ฯ

    o ปู่เจ้าว่าหมอไส้
ไปเรียกมาให้ใกล้
แทบนี้อย่าขาม ฯ

    o หมอบอกความสองเจ้า
พระปู่ให้สองเฝ้า
ไปสู่แล้วเชิญเขือ ฯ

    o สองเห็นเสือกราบเฝ้า
คร้ามกลัวก้มกรานเข้า
ไปกราบไหว้ทั้งสอง ฯ












คือ ปู่เจ้าสมิงพราย (๑)
ปู่รับปากไปหาพระเพื่อนพระแพง
สองพี่เลี้ยงลงจากเขา

   
คือปู่เจ้าสมิงพราย
   
ปู่เข้าฌานเพ่งเรื่องราวอันเปนมาแลจะต้องเปนไป ก็รู้ได้ถ้วนว่าล้วนเปนแต่บรรพกรรมนำชัก จึ่งรับปากไปสู่สองพระธิดา
   
ในรายทางขากลับของพี่เลี้ยงทั้งสอง แลล้วนแต่สิ่งอันพึงอภิรมย์ เปนอีกตอนหนึ่งที่แสดงถึงความชำนาญทั้งอักษรศิลป์ ตลอดจนพรรณไม้แลสรรพสัตว์ ของผู้ทรงนิพนธ์
อ่านเพลินนัก..
________________________________

ร่าย
o ตามองเสือพรับ เห็นเสือกลับเปนแมว แถมจราศศุภลักษณ์ มลักเห็นโฉมปู่เจ้า แปรรูปเถ้าหงอกสกาว คิ้วขาวขนตาเผือก กลับตระเลือกเปนบ่าว พึงมล่าวโฉมกล้องแกล้ง งามอรรแถ้งโถงเถง ทรงลักเลงเสสรวล สคราญครวญงามถนัด รบัดเปนกลางแก่ ตระแหน่รูปลักษณดี มีมารยาทเสี่ยมสาร สองถวายสการบูชา อันแต่งมาทุกสิ่ง จึ่งทูลสารสองไท้ สองราชก้มกราบไหว้ พระบาทเจ้ากูมา ฯ

โคลง ๒
    o ทุกขธิดาเท่าฟ้า
เห็นแต่พระเจ้าข้า
พระปู่เจ้าองค์เดียว ฯ

    o ขับเขียวมาแต่เช้า
สองให้เชิญพระเจ้า
โปรดเปลื้องทุกข์หลาน
ท่านเทอญ ฯ
    o เชิญช่วยภารลุแล้ว
เงินแลทองกองแก้ว
อเนกข้าขอถวาย ฯ

    o กามกรรหายเหิ่มไหม้
พระช่วยพระชักให้
ลอราชพ้นความตาย ฯ


ร่าย
o ปู่ไป่ผายตอบถ้อย อยู่น่อยหนึ่งบมินาน ปู่ก็ธิญาณเล็งดู กูจะช่วยควรฤๅมิควร รู้ทั้งมวลทุกอัน ด้วยผลกรรม์เขาแต่ก่อน ทำหย่อนหย่อนตึงตึง ส่วนจะถึงบมิหยุด เถ้าว่าจะพลัดสุดพลันม้วย ด้วยผลกรรมเขาเอง แต่เพรงเขาทั้งสอง ทำบุญปองจะไจ้ ขอได้พึ่งบุญตู ปู่ดูเสร็จจึ่งว่า สองนางอย่ากล่าวอ้าง ถึงสินจ้างสินบน ตนกูจักไปสู่ ถึงที่อยู่สองเจ้า เขือเข้าไปก่อนกล่าว ข่าวดั่งนี้ให้ฟัง กูจะไปภายหลังบช้า ผิมิวันนี้อ้า พรุ่งนี้กูถึง ฯ

ร่าย
o
สองพึงใจคำปู่ ไหว้รับอยู่บมิวาง สองนางสนองคำตอบ ขอบคำพระปู่เจ้า เสมออมฤตร้อยเต้า มาโสรจให้สร่างเสบย ฯ

ร่าย
o พระเอยเขือข้ามา จักตายช้าตายมอด เนื้อนกหลอดหนทาง สางแสกทูดคูดเค้า ขอพึ่งบุญพระเจ้า จงพ้นความกลัว

โคลง ๒
    o ปู่หัวอยู่ยะแย้ม
ข้อยว่าสองแสล้ม
อย่าร้อนใจเขือ ฯ


โคลง ๓
    o สองนางเมือเห็นวัน
จงทันออกปากป่า
ไปว่าหลานแก้วถ้า
ถ้าท่านทูลสาร ฯ

ร่าย
    o
มินานนางโรยนางรื่น ไหว้ปู่ชื่นชมลา กับหมอมาขึ้นช้าง เลียบเดิรข้างตีนเขา คืนไต่เต้าตามทาง เหลียวหลังพลางจะไจ้ ชมไม้ไหล้สะอาด เหมือนปราสาทพิศาล คือพิมานมนเทียร อาเกียรณ์แกมดอกแดง แสงดุจปัทมราค ภาคใบเขียวสรด คือมรกตรุ่งเรือง ดอกเหลืองเพียงทองสุก ขาวดุจมุกดาดาษ โอภาสพรรณพิจิตร พิพิธภูมิลำเนา งามเอาใจใช่น้อย คล้อยลงถึงดินต่ำ เลงสบส่ำพฤกษา งามพอตาตาดู เพราะพอหูหูฟัง นกประนังกันร้อง เพราะไพรก้องป่าก้อง เพรียกพื้นพงพี ฯ

ร่าย
    o
เสียงโนรีสาริกา สัตวาฝูงดุเหว่า แขกเต้าเคล้าคลิ้งโคลง นกเอี้ยงโองคู่เคียง เสียงแซ้งแซวภูรโดก โคกม้าม่ายนางนวล กะสาสรวลกระสันต์ กางเขนขันแผ่แพน แอ่นอกจอกจิบกด ขุนยูงชดขนฟ้อน กระหย้อนหางฟฟาย นางยูงรายรอบเฝ้า ทรายทองเคล้าคู่เคียง ระมั่งเมียงม่ายคู่ เกลื่อนกล่นอยู่คคล่ำ บรู้กี่ส่ำกี่สาร เห็นตระการสรนุก จริวจราวซุกจรจรัล บรู้กี่พรรค์ปูปลา นกหกดาดาษอยู่ หงษ์เหิรสู่สระสรง เป็ดน้ำลงลอยล่อง ทุงทองท่องจรจรัล จากพรากพรรค์ฟุบฟอง คับแคครองคู่หว้าย ดอกบัวผ้ายจับบัว ภมรมัวเมาซราบ อาบลอองเกสร สลอนบุษบาบาน ตระการดอกบัวแดง แฝงบัวขาวคลี่คล้อย สร้อยสัตบรรณบงกช รรวยรสกลิ่นจงกล นิโลตบลโกมุท อุบลบุษบัวเผื่อนฉลับ ป่ากลัวกลับกลายสรนุก สำราญสุขเปรมปรีดิ์ ช้างเร็วรี่ผาดผัง ถึงวังใกล้ปราสาท รับขวัญราชบิดา ขวัญสองมาสมสู่ อยู่กับองค์อ่อนไท้ ไฟแดดอย่ารู้ไหม้ ไข้อย่ารู้ถึง แม่เลย ฯ

โคลง ๒
    o คำนึงใดอย่าแคล้ว
ลุลาภโดยใจแก้ว
อยู่เคล้าฤๅคลา
หนึ่งเลย


คือ ปู่เจ้าสมิงพราย (๒)
ปู่รับปากช่วยด้วยเอนดู

   
ปู่เหินหาวมาสู่ตำหนักพระเพื่อนพระแพงพลันที่พี่เลี้ยงมาถึง
   
คือ ปู่เจ้าสมิงพราย... คือ ฤทธีแลตัวตนแห่ง แลการเปนซึ่ง "ปู่เจ้าสมิงพราย"
   
ปู่เจ้าฯรับช่วย แต่กำหนดเวลาที่พระลอจะมานั้นมิได้ เนื่องด้วยว่าข้างกระโน้นก็เปนเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ที่ไหนจะไร้บุญญาบารมีแลผู้ทรงฤทธีคอยปกป้อง
ร้อย = ชะรอย, กระหมั่ง
เมิล (เขมร) = ดู
________________________________

ร่าย
    o
ส่วนธิดาทั้งสอง ตั้งเตียงทองราชอาสน์ พิดานดาดดัดบน เทียบขนนเขนยตระสัก ม่านปักแพร้วแพรพรรณ สรรพของหอมหาได้ สรรพดอกไม้หาถ้วน ล้วนแก้วต่างข้าวตอก ช่อดอกไม้เงินทอง ตระการแกล้มเหล้าขาว แต่งไว้รับปู่เจ้า ว่าแต่งไว้รับขวัญ

โคลง ๒
    o ไป่ทันว่าจแจ้ว
พระปู่เจ้ามาแล้ว
ก่อนแล้ถึงเรือน ฯ


ร่าย
    o
เห็นหาวเหมือนจรคลุ้ม ชรอุ้มบนเวหา สองสงกาจรไจ้ สองประนมมือไหว้ ร้อยปู่เจ้าเรามา ฯ

โคลง ๒
    o แลหาสองพี่เลี้ยง
เห็นแต่ไกลมาเพี้ยง
ดั่งได้กินเมือง ฯ

    o ประนังเนืองนั่งเฝ้า
ข้าจึ่งลงช้างเข้า
มากราบไหว้สองนาง ฯ

    o สองแลพลางสองไหว้
ใดดั่งนี้ร้อยไท้
ปู่เจ้าเราฤๅ ฯ

    o เขาว่าคือท่านแท้
พระปู่เสด็จมาแล้
อย่าได้สงกา ฯ

    o มาจะอาราธนปู่เจ้า
กรประนมตั้งเกล้า
กราบไหว้ทั้งหลาย ฯ

    o ปรายข้าวตอกดอกไม้
ถวายธูปเทียนทองไหว้
กราบเกล้าสดุดี ฯ

    o พระมียศยิ่งฟ้า
ขอพระเอนดูข้า
ท่านให้เห็นองค์
ท่านนา ฯ




โคลง
    o สองผจงอาราธน์ไหว้
อารักษ์
ขอท่านแสดงสิทธิศักดิ์
อย่ากั้ง
ขอเป็นที่พำนัก
นิตยแด่ เผือนา
ขอพระปู่เจ้าตั้ง
แต่งให้เป็นตัว ฯ
    o บัดเดี๋ยวพระปู่ให้
เห็นองค์ ท่านนา
งามรูปงามโฉมยง
อเคื้อ
บผอมบพีทรง
บหนุ่ม งามนา
บแก่ผมผิวเนื้อ
ปากคิ้วตาตรู ฯ
    o สองเจ้าเห็นปู่เจ้า
สองชม ชื่นนา
สองกราบกรบังคม
เคี่ยมไหว้
สองถวายเครื่องอุดม
สบสิ่ง แลนา
ผจงแต่บูชาไท้
ปู่เจ้าจงเอา ฯ
    o ปู่เห็นสองเจ้าเพ่ง
ภักดี อยู่นา
ใจปู่ปองปรานี
หนุ่มเหน้า
ปู่เอากระยาศรี
ผจงแต่ง ถวายนา
เห็นปู่รับสองเจ้า
พี่น้องยินดี ฯ
    o แล้วสองกราบไหว้บ่ำ
บวงสรวง ท่านนา
ความยากแถลงทั้งปวง
ถี่ถ้อย
ขอพระช่วยชูทรวง
ทุกข์เทวษ ไส้พ่อ
ลุลาภเขือข้าค้อย
ท่าได้โดยจง ฯ
    o จะถวายแก้วเก้าโกฏิ
เงินทอง
แลสิ่งแลเกวียนกอง
ลากให้
วัวควายเผือกเขาทอง
หงส์ห่าน หมูนา
เป็ดไก่เหล้าขาวไหว้
ปู่เจ้าแทนคุณ ฯ
    o ปู่ฟังปู่ว่าอ้า
อดสู บารนี
สองอย่าบนบานตู
เกลียดจ้าง
ภักดีสิ่งเดียวดู
ดียิ่ง ดีนา
ความโรคเขือจักร้าง
อย่าร้อนใจเขือ ฯ
    o ใช่กลผีไส้ขาด
ลเมอมา อยากนา
เร่ร่อนขวยขวายหา
เตร่ต้อง
ขุกเท็จกล่าวมารษา
จำท่าน บลนา
ทำบาปมาเลี้ยงท้อง
ร่างร้ายฤๅอาย ฯ
    o เรานี้เราเทพเจ้า
จอมผา ไส้นา
เขาใส่สมญาเรา
ปู่เจ้า
แรงบุญส่งสนองมา
พูลเพิ่ม แลแม่
เสวยพิภพล้านเข้า
ชั่วฟ้าล่มกัลป์ ฯ
    o สิทธิฤทธิเรืองเดชด้วย
ผลบุญ ส่งนา
สร้างกุศลเป็นทุน
บ่ร้อน
สมบัติดั่งมีกุล
ไหลหลั่ง มานา
สรรพพิภพช้าช้อน
เลิศล้วนสมบูรณ์ ฯ
    o ปู่เห็นสองเจ้าปู่
ปรานี นักนา
จักช่วยสองกษัตรีย์
อย่าร้อน
จักเชิญพระลอลี
ลาสู่ สองนาง
สองแม่อย่าไข้ข้อน
อยู่ถ้าฟังสาร ฯ
    o สองไหว้สองกราบเกล้า
สองถาม
ยังเท่าใดขุนงาม
จักเต้า
ปู่เฉลยใช่คนทราม
คนชั่ว ณ แม่
ขุนขี่เกล้าหน่อเจ้า
แผ่ผู้มีบุญ ฯ
    o หมอเถ้าหมอแก่แก้
คุณความ มากนา
จักกำหนดโดยถาม
ไป่ได้
หลานเอยค่อยพยายาม
ฤๅรอด เราเลย
บร่างนานนักไท้
ธิราชผ้ายถึงเรา ฯ

โคลง ๒
    o สองนงเยาว์เคร่าถ้า
แม้ว่าเห็นพระช้า
จึ่งให้ไปเตือน
ปู่เทอญ ฯ
    o เตือนสองสระเกศแก้ว
พระประสิทธิ์ให้แล้ว
ปู่เจ้าลาสอง ฯ

    o มองตาเมิลปู่ผ้าย
หายบัดเดี๋ยวเห็นคล้าย
คลาศเพี้ยงลมลิว ฯ


no image
  • Blogger Comments
  • Facebook Comments

0 ความคิดเห็น:

Post a Comment

Top