โคลงในวรรณกรรมไทย แบ่งได้ดังนี้ คือ
- โคลงสองสุภาพ
- โคลงสองดั้น
- โคลงสามสุภาพ
- โคลงสามดั้น
- โคลงสี่สุภาพ
- โคลงสี่ดั้น
โคลงสอง
โคลงสองสุภาพ
หนึ่งบทมี 14 คำ แบ่งเป็น 3 วรรค 5 - 5 - 4 คำ ตามลำดับ และอาจเพิ่มสร้อยท้ายบทได้อีก 2 คำ บังคับเอก 3 แห่ง โท 3 แห่ง สัมผัสส่งจากท้ายวรรคแรกไปยังท้ายวรรคที่สอง ดังตัวอย่าง๐ ๐ ๐ เอก โท | ๐ เอก ๐ ๐ โท |
เอก โท ๐ ๐ | (๐ ๐) |
๏ โคลงสองเป็นอย่างนี้ | แสดงแก่กุลบุตรชี้ |
เช่นให้เห็นเลบง | แบบนา ๚ |
๏ ไก่ขันเขียวผูกช้าง | มาเทียมทั้งสองข้าง |
แนบข้างเกยนาง ๚ | |
๏ ไป่ทันสางสั่งให้ | พระแต่งจงสรรพไว้ |
เยียวปู่เจ้าเรามา ๚ | |
๏ เผือจักลาแม่ ณ เกล้า | อยู่เยียวเจียนรุ่งเช้า |
จักช้าทางไกล ๚ | |
ลิลิตพระลอ |
โคลงสองดั้น
หนึ่งบทมี 12 คำ แบ่งเป็น 3 วรรค วรรคละ 5 - 5 - 2 คำ ตามลำดับ และอาจมีสร้อยท้ายบทได้อีก 2 คำ ส่งสัมผัสแบบเดีวกับโคลงสองสุภาพ บังคับเอก 3 แห่ง โท 3 แห่ง เช่นเดียวกับโคลงสองสุภาพแต่ต่างตำแหน่ง หากแต่งหลายบทมีการส่งสัมผัสเช่นเดียวกับโคลงสองสุภาพ ดังตัวอย่าง๐ ๐ ๐ เอก โท | ๐ เอก ๐ โท โท |
เอก ๐ | (๐ ๐) |
๏ โคลงสองเรียกอย่างดั้น | โดยว่าวรรคท้ายนั้น |
เปลี่ยนแปลง ๚ | |
๏ แสดงแบบแยบยลให้ | กุลบุตรจำไว้ใช้ |
แต่งตาม ๚ |
๐ ๐ ๐ เอก โท | ๐ ๐ ๐ เอก โท |
เอก ๐ | (๐ ๐) |
๏ ทูลคดีแด่ไท้ | อีกขอพระจุ่งได้ |
ดับเข็ญ ๚ | |
๏ พระเป็นเจ้าจึ่งได้ | ตรัสตอบว่าท่านไซร้ |
ทุกข์เหลือ ๚ | |
๏ อยากเอื้อมและช่วยแท้ | แต่เรานี้สุดแก้ |
พระพรหม ๚ | |
๏ อับบรมราชผู้ | เป็นหริสิรู้ |
อุบาย ๚ | |
๏ จงผันผายและเฝ้า | วอนพระวิษณุเจ้า |
หริพลัน | เถิดนา ๚ |
โคลงสาม
โคลงสามสุภาพ
บทหนึ่งมี 19 คำ แบ่งเป็น 4 วรรค วรรคละ 5 - 5 - 5 - 4 คำตามลำดับ และอาจมีสร้อยท้ายบทได้อีก 2 คำ เช่นเดียวกับโคลงสองสุภาพ บังคับเอก 3 แห่ง โท 3 แห่ง ส่งสัมผัสเพิ่มจากโคลงสองอีกหนึ่งแห่งจากท้ายวรรคแรกไปยังวรรคที่สอง ดังตัวอย่าง๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ ๐ ๐ เอก โท |
๐ เอก ๐ ๐ โท | เอก โท ๐ ๐ (๐ ๐) |
๏ ล่วงลุด่านเจดีย์ | สามองค์มีแห่งหั้น |
แดนต่อแดนกันนั้น | เพื่อรู้ราวทาง ๚ |
๏ ขับพลวางเข้าแหล่ง | แห่งอยุธเยศหล้า |
แลธุลีฟุ้งฟ้า | มืดคลุ้มมัวมล ยิ่งนา ๚ |
ลิลิตตะเลงพ่าย |
โคลงสามดั้น
บทหนึ่งมี 17 คำ แบ่งเป็น 4 วรรค วรรคละ 5 - 5 - 5 - 2 คำตามลำดับ บังคับเอก 3 แห่ง โท 3 แห่ง สัมผัสเหมือนโคลงสามสุภาพ ดังตัวอย่าง๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ ๐ ๐ เอก โท |
๐ เอก ๐ โท โท | เอก ๐ (๐ ๐) |
๏ พุทธศกสองพันปี | เศษมีแปดสิบเข้า |
เหตุรุ่มรุมร้อนเร้า | ย่ำยี ๚ |
๏ มีเมืองทิศตกไถง | คือม่านภัยมุ่งร้าย |
เตลงคั่นบต้านได้ | เด็ดลง ๚ |
ผืนแผ่นไผทนี้ล้ำ แหล่งคุณ |
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ ๐ ๐ เอก โท |
๐ ๐ ๐ เอก โท | เอก ๐ (๐ ๐) |
๏ มุ่งตรงสู่สรยุ | บรรลุถึงฝั่งใต้ |
เดินเลียบฝั่งนั่นไซร้ | ไป่นาน ๚ |
๏ ประมาณได้โยชน์หนึ่ง | จึงพระดาบสเถ้า |
สั่งสองโอรสเจ้า | หยุดพลัน ๚ |
โคลงสี่
โคลงสี่ เป็นโคลงที่กวีนิยมแต่งมากที่สุดในกระบวนโคลง สามารถจำแนกโคลงสี่ออกได้หลายประเภท ดังนี้
โคลงสี่ในจินดามณี
ใน จินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี กล่าวถึงวิธีการแต่งโคลงสี่ไว้หลายชนิดด้วยกัน คือ โคลงสี่สุภาพ โคลงตรีเพชรทัณฑี โคลงจัตวาทัณฑี โคลงขับไม้ โคลงในกาพย์ห่อโคลง โคลงดั้น ฯลฯ
โคลงสี่สุภาพ
๐ ๐ ๐ เอก โท | ๐ x (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ ๐ x | เอก โท |
๐ ๐ เอก ๐ x | ๐ เอก (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ ๐ โท | เอก โท ๐ ๐ |
๏ เสียงลือเสียงเล่าอ้าง | อันใด พี่เอย |
เสียงย่อมยอยศใคร | ทั่วหล้า |
สองเขือพี่หลับไหล | ลืมตื่น ฤๅพี่ |
สองพี่คิดเองอ้า | อย่าได้ถามเผือ ๚ |
ลิลิตพระลอ |
โคลงตรีเพชรทัณฑี
๐ ๐ ๐ เอก โท | ๐ x (๐ ๐) |
๐ เอก x ๐ ๐ | เอก โท |
๐ ๐ เอก ๐ x | ๐ เอก (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ ๐ โท | เอก โท ๐ ๐ |
๏ ปางนั้นสองราชไท้ | ดาบศ |
สาพิมตไปมา | กล่าวแก้ว |
ประทานราชเอารส | สองราช |
เวนแต่ชูชกแล้ว | จึ่งไท้ชมทาน ๚ |
(มหาชาติคำหลวง:สักกบรรพ) |
โคลงจัตวาทัณฑี
๐ ๐ ๐ เอก โท | ๐ x (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ x ๐ | เอก โท |
๐ ๐ เอก ๐ x | ๐ เอก (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ ๐ โท | เอก โท ๐ ๐ |
๏ โคลงหนึ่งนามแจ้งจัต- | วาทัณ ฑีฤๅ |
บังคับรับกันแสดง | อย่างพร้อง |
ขบวรแบบแยบยลผัน | แผกชนิด อื่นเอย |
ที่สี่บทสองคล้อง | ท่อนท้ายบทปถม ๚ |
โคลงขับไม้
๐ ๐ ๐ ๐ โท | ๐ x (๐ ๐) |
๐ ๐ ๐ ๐ x | ๐ โท |
๐ ๐ ๐ ๐ x | ๐ ๐ (๐ ๐) |
๐ ๐ ๐ ๐ โท | ๐ โท ๐ ๐ |
๏ พระเกียรติรุ่งฟุ้งเฟื่อง | ฦๅชา |
ทั่วท่วนทุกทิศา | นอบน้อม |
ทรงนามไท้เอกา | ทศรถ |
กระษัตรมาขึ้นพร้อม | บ่เว้นสักคน ๚ |
๏ เดชพระบารมีล้น | อนันต์ |
จักนับด้วยกัปกัลป์ | ฤๅได้ |
สมภารภูลแต่บรรพ์ | นาเนก |
ยิ่งบำเพ็งเพิ่มไว้ | กราบเกล้าโมทนา ๚ |
โคลงกระทู้
โคลงกระทู้ เป็นลักษณะพิเศษของการแต่งโคลง โดยบังคับคำขึ้นต้นแต่ละบาทของโคลงส่วนมากมักใช้แต่งกับโคลงสี่ ซึ่งโคลงกระทู้คือโคลงสี่สุภาพนั่นเองบาทละหนึ่งคำ เรียกว่า กระทู้เดี่ยว
บาทละสองคำ เรียกว่า กระทู้คู่
บาทละสามคำ เรียกว่า กระทู้สาม
บาทละสี่คำ เรียกว่า กระทู้สี่
ลักษณะการใช้กระทู้อาจใช้คำเดียวกันทุกบาท หรือคำต่างชุดกันก็ได้ ถ้าเป็นคำเดียวกันเรียกว่า กระทู้ยืน คำที่นำมาเป็นกระทู้อาจจะมีความหมายหรือไม่ก็ได้ เช่น ทะ-ลุ่ม-ปุ่ม-ปู อาจเป็นคำคล้องจองก็ได้ เช่น หัวล้านได้หวี ตาบอดได้แว่น หรืออาจมีข้อความอื่นใดตามความประสงค์ของผู้ประพันธ์
ตัวอย่าง โคลงกระทู้ ทะ-ลุ่ม-ปุ่ม-ปู
๏ ทะ แกล้วซากเกลื่อนฟื้น | อยุธยา |
ลุ่ม แห่งเลือดน้ำตา | ท่วมหล้า |
ปุ่ม อิฐฝุ่นทรายสา- | มารถกล่าว |
ปู แผ่สัจจะกล้า | ป่าวฟ้าดินฟัง ๚ |
กระทู้พม่า |
โคลงสี่ดั้น
ในจินดามณีฉบับ พระโหราธิบดี เรียกว่า "ฉันทจรรโลงกลอนดั้น" และมิได้อธิบายอะไร เพียงแต่ยกตัวอย่างโคลงไว้เท่านั้น ต่อมาในจินดามณีฉบับหลวงวงศาธิราชสนิทจึงปรากฏแผนผังสมบูรณ์ และจำแนกโคลงดั้นออกเป็น 2 ชนิด คือ โคลงดั้นวิวิธมาลี และโคลงดั้นบาทกุญชร ตามลักษณะการส่งสัมผัสระหว่างบท ดังตัวอย่าง๐ ๐ ๐ เอก โท | ๐ x (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ ๐ ๐ | เอก โท |
๐ ๐ เอก ๐ x | ๐ เอก (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ โท โท | เอก y |
๐ ๐ ๐ เอก โท | ๐ x (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ ๐ y | เอก โท |
๐ ๐ เอก ๐ x | ๐ เอก (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ โท โท | เอก ๐ |
โคลงดั้นวิวิธมาลี
หนึ่งบทมี 28 คำ 4 บาท บาทละ 7 คำ แบ่งเป็นบาทละ 2 วรรค วรรคแรก 5 คำ วรรคหลัง 2 คำ เอก 7 โท 4 เหมือนโคลงสี่สุภาพ ต่างกันที่ตำแหน่งเอกโทในบาทสุดท้าย คำที่ 4 -5 เป็นโทคู่ ส่งสัมผัสระหว่างบทแห่งเดียว คือ คำสุดท้ายบทแรกไปยังคำที่ 5 ในบาทที่สองของบทต่อไป ดังตัวอย่าง๏ เชลงกลโคลงอย่างดั้น | บรรยาย |
เสนอชื่อวิวิธมาลี | เล่ห์นี้ |
ปวงปราชญ์ทั่วทวยหลาย | นิพนธ์เล่น เทอญพ่อ |
ยลเยี่ยงฉบับพู้นชี้ | เช่นแถลง ๚ |
๏ เป็นอาภรณ์แก้วก่อง | กายกระวี ชาติเอย |
อาตมโอ่โอภาสแสง | สว่างหล้า |
เถกิลเกียรติเกริ่นธรณี | ทุกแหล่ง หล้านา |
ฦๅทั่วดินฟ้าฟุ้ง | เฟื่องคุณ ๚ |
โคลงดั้นบาทกุญชร
บังคับเหมือนวิวิธมาลี แต่ส่งสัมผัสระหว่างบท 2 แห่ง จากคำสุดท้ายบาที่ 3 บทแรกไปยังคำที่ 4 หรือ 5 (คำเอก) ของบทต่อไป กับคำสุดท้ายบาทที่ 4 บทแรกไปคำที่ 4 บาทที่สองของบทต่อไป ดังตัวอย่าง๏ อีกโคลงดั้นหนึ่ง | พึงยล |
บอกเช่นบาทกุญชร | ชื่ออ้าง |
วิธีที่เลบงกล | แปลกก่อน |
ยากกว่าบรรพ์แสร้งสร้าง | อื่นแปลง ๚ |
๏ สองรวดกลอนห่อนพลั้ง | ผิดพจน์ |
เฉกสี่เชิงสารแสดง | ย่างผ้าย |
สัมผัสทั่วทุกบท ฤๅเคลื่อน | คลายเอย |
บงดั่งบาทข้างย้าย | ต่อตาม ๚ |
โคลงสี่ในตำรากาพย์
เนื่องจากโคลงจากตำรากาพย์ไม่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมเรื่องใดเลย มีอยู่แต่ในตำราแต่งคำประพันธ์เท่านั้น ปราชญ์รุ่นก่อนมักเรียกโคลงเหล่านี้ว่า โคลงโบราณ
กาพย์สารวิลาสินี
ในคัมภีร์กาพย์สารวิลาสินีมีโคลงอยู่ 8 ชนิด ได้แก่ วิชชุมาลี มหาวิชชุมาลี จิตรลดา มหาจิตรลดา สินธุมาลี มหาสินธุมาลี นันททายี และมหานันททายี มีลักษณะเด่นคือ ไม่บังคับเอกโท บังคับแต่จำนวนคำ และสัมผัสโคลง 8 ชนิดที่ดัดแปลงมาจากกาพย์สารวิลาสินีดังกล่าวยังอาจแบ่งได้อีกเป็นสองกลุ่มดังต่อไปนี้กลุ่มที่หนึ่ง เป็นโคลงที่มียี่สิบแปดคำ (หนึ่งบทมีสี่บาท หนึ่งบาทมีสองวรรค วรรคหน้ามีห้าคำ วรรคหลังมีสองคำ รวมเป็นยี่สิบแปดคำ) ได้แก่ 1) โคลงวิชชุมาลี 2) โคลงจิตรลดา 3) โคลงสินธุมาลี และ 4) โคลงนันททายี โคลงกลุ่มนี้สังเกตได้จากการที่มีวรรคสุดท้ายของบทเพียงสองคำ
กลุ่มที่สอง เป็นโคลงที่มีสามสิบคำ (หนึ่งบทมีสี่บาท หนึ่งบาทมีสองวรรค วรรคหน้ามีห้าคำ วรรคหลังมีสองคำ ยกเว้นวรรคสุดท้ายของบทมีสี่คำ รวมเป็นสามสิบคำ) ได้แก่ 1) โคลงมหาวิชชุมาลี 2) โคลงมหาจิตรลดา 3) โคลงมหาสินธุมาลี และ 4) โคลงมหานันททายี โคลงกลุ่มนี้สังเกตได้จากการที่มีวรรคสุดท้ายของบทเพียงสี่คำ และมีคำ “มหา” นำหน้าชื่อ
โคลงวิชชุมาลี และโคลงมหาวิชชุมาลี
วิชชุมาลี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวประหนึ่งว่าสายฟ้าแลบมหาวิชชุมาลี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวประหนึ่งว่าสายฟ้าแลบใหญ่
ตัวอย่างโคลงวิชชุมาลี
|
ตัวอย่างโคลงมหาวิชชุมาลี
|
โคลงจิตรลดา และโคลงมหาจิตรลดา
จิตรลดา แปลว่า มีระเบียบคำเกี่ยวพันกันประหนึ่งว่าเครือเถาอันงามมหาจิตรลดา แปลว่า มีระเบียบคำเกี่ยวพันกันประหนึ่งว่าเครือเถาอันงามยิ่ง
ตัวอย่างโคลงจิตรลดา
|
ตัวอย่างโคลงมหาจิตรลดา
|
โคลงสินธุมาลี และโคลงมหาสินธุมาลี
สินธุมาลี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวประหนึ่งว่าระเบียบคลื่นในแม่น้ำมหาสินธุมาลี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวประหนึ่งว่าระเบียบคลื่นในแม่น้ำใหญ่
ตัวอย่างโคลงสินธุมาลี
|
ตัวอย่างโคลงมหาสินธุมาลี
|
โคลงนันททายี และโคลงมหานันททายี
นันททายี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวเป็นที่ให้ซึ่งความเพลิดเพลินแก่บุคคลผู้ฟังมหานันททายี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวเป็นที่ให้ซึ่งความเพลิดเพลินแก่บุคคลผู้ฟังยิ่ง
ตัวอย่างโคลงนันททายี
|
ตัวอย่างโคลงมหานันททายี
|
กาพย์คันถะ
ในคัมภีร์กาพย์คันถะ มีโคลงสี่อยู่ 2 ชนิด คือ ทีฆปักข์ และรัสสปักข์ มีลักษณะเด่นเช่นเดียวกับโคลงในกาพย์สารวิลาสีนี คือ ไม่บังคับเอกโท กำหนดแต่จำนวนคำและสัมผัส
โคลงทีฆปักข์
ทีฆปักข์ แปลว่า มีฝักฝ่ายยาว เพราะคำรับสัมผัสผ่อนยาวออกไปทุกบาท ตั้งแต่คำที่ 5 - 4 - 3 ตามลำดับ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ x |
๐ ๐ ๐ ๐ x | ๐ y |
๐ ๐ ๐ x ๐ | ๐ ๐ |
๐ ๐ y ๐ ๐ | ๐ ๐ |
๏ หญิงดำขำเกลี้ยงยิ่ง | มีสี |
ธรรมอื่นเทียมขันตี | ไป่ได้ |
คำชาวบุรีไพ | เราะพ่อ |
สัตว์สบใกล้สีหลี้ | หลบแสยง ๚ |
โคลงรัสสปักข์
รัสสปักข์ แปลว่า มีฝักฝ่ายสั้น เพราะคำรับสัมผัสคงที่คำรับคำที่ 5 ทุกบาท๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ x |
๐ ๐ ๐ ๐ x | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ ๐ x | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ ๐ x | ๐ ๐ ๐ ๐ |
๏ ชนใดหลงเล่ห์เกื้อ | กลกาม |
ลุเล่ห์กิเลสราม | รื่นเร้า |
ชนนั้นจะพ้นความ | ทุกข์ฤๅ |
กระวีพึงเว้นข้าม | แห่งห้วงกามา ๚ะ |
เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้โคลงชนิดต่าง ๆ ในคัมภีร์กาพย์จะบอกว่ามิได้บังคับเอกโท แต่ตัวอย่างที่ให้ไว้ส่วนใหญ่มักมีเอกโท ตามตำแหน่งที่เด่นของโคลงสี่เสมอ
โคลงสี่ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์ขึ้น
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดัดแปลงสัมผัสของโคลงในตำรากาพย์สารวิลาสีนีทั้ง 4 ชนิด แล้วทรงเรียกว่า โคลงโบราณแผลง ดังตัวอย่าง
โคลงวิชชุมาลีแผลง
เปลี่ยนการรับสัมผัสจากคำที่ 5 บาทที่สี่เป็นคำที่ 4 บาทที่สี่แทน๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ x |
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ y |
๐ ๐ ๐ ๐ x | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ y ๐ | ๐ ๐ |
๏ ข้าแต่พระพุทธเกล้า | มุนินทร์ |
ลายลักษณะบาทหัตถ์ | วิจิตร |
ชนนิกรไหว้อาจิณ | คืนค่ำ |
ตั้งกระหม่อมนิตย์ข้า | ดุษฎี ๚ |
โคลงจิตรลดาแผลง
เปลี่ยนการรับสัมผัสในบาทที่สี่ จากคำที่ 4 มาเป็นคำที่ 5๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ x |
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ y |
๐ ๐ ๐ x ๐ | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ ๐ y | ๐ ๐ |
๏ พระจันทรเพ็ญแผ้ว | สรัทกาล |
ชะช่วงโชติพรายงาม | รุ่งฟ้า |
ให้คนชื่นบานนิตย์ | ทุกหมู่ |
รัศมีเรืองโรจน์กล้า | เวหา ๚ |
โคลงสินธุมาลีแผลง
เปลี่ยนคำสัมผัสในบาทที่สี่ จากเดิมคำที่ 5 มาเป็นคำที่ 4๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ x |
๐ ๐ ๐ ๐ x | ๐ y |
๐ ๐ ๐ ๐ x | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ y ๐ | ๐ ๐ |
๏ ข้าแต่พระพุทธเจ้า | ใจปราชญ์ |
รัศมีองค์โอภาส | รุ่งฟ้า |
พระสุรเสียงเพราะฉลาด | โลมโลก |
สัตบุรุษส้าเสก | ชมนิตย์ ๚ |
โคลงนันททายีแผลง
เปลี่ยนคำสัมผัสในบาทที่สี่ จากเดิมคำที่ 5 มาเป็นคำที่ 4๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ x |
๐ ๐ ๐ x ๐ | ๐ y |
๐ ๐ ๐ x ๐ | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ y ๐ | ๐ ๐ |
๏ พระสุริยะทรงเดช | เสด็จฉาย |
หาวหนพรายพรายเรือง | รุ่งเร้า |
ปทุมิกรผายกลีบ | รสคลี่ |
เฉกพระเป็นเจ้าตรัส | เตือนโลก ๚ |
นอกจากนี้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงการส่งสัมผัส พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประดิษฐ์โคลงเลียนแบบโคลงในตำรากาพย์ คือไม่บังคับเอกโท อีก 4 แบบ ใช้ในพระราชนิพนธ์กถานมัสการพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระรัตนตรัย คือ โคลงวชิระมาลี โคลงมุกตะมาลี โคลงรัตนะมาลี และโคลงจิตระมาลี ดังตัวอย่าง
โคลงวชิระมาลี
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ x |
๐ ๐ ๐ x ๐ | ๐ y |
๐ ๐ ๐ ๐ x | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ ๐ y | ๐ ๐ |
๏ องค์พระพุทธเจ้า | โคบาล |
สอนธรรมสมานจิต | สัตบุรุษ |
นำแน่วสู่นิรพาณ | พ้นทุกข์ |
พระนราสภสุทธิ์ | ศาสดา ๚ |
โคลงมุกตะมาลี
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ x |
๐ ๐ ๐ x ๐ | ๐ y |
๐ ๐ ๐ ๐ x | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ y ๐ | ๐ ๐ |
๏ ธรรมชาติดิเรกรุ้ง | ชวลิต |
น้อมนำดวงจิตรจร | สู่ชอบ |
สละไตรทุจริต | เห็นโทษ |
ธรรมะดั่งกอบแก้ว | โกยทอง ๚ |
โคลงรัตนะมาลี
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ x |
๐ ๐ ๐ ๐ x | ๐ y |
๐ ๐ ๐ x ๐ | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ ๐ y | ๐ ๐ |
๏ อีกผองสาวกเจ้า | ทรงจำ |
กำหนดบทพระธรรม | สอนโลก |
สงฆ์ประดุจนำทาง | รอดบาป |
เหมือนช่วยให้ส่างโศก | สุดภัย ๚ |
โคลงจิตระมาลี
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | ๐ x |
๐ ๐ ๐ ๐ x | ๐ y |
๐ ๐ ๐ x ๐ | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ y ๐ | ๐ ๐ |
๏ ไตรรัตน์ชงัดยิ่ง | เทวัญ |
ใครพึ่งพึงสู่สวรรค์ | แม่นแท้ |
ไตรรัตน์ย่อมกันภัย | อุบาทว์ |
ใครพึ่งถึงแม้ทุกข์ | เสื่อมสูญ ๚ |
ความแตกต่างของโคลงสี่ในวรรณกรรมกับโคลงสี่ในตำราคำประพันธ์
โคลงสี่ปรากฏในวรรณกรรมตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยในสมัยอยุธยาตอนต้น เป็นโคลงสี่สุภาพ 3 เรื่องคือ ลิลิตพระลอ โคลงนิราศหริภุญชัย โคลงมังทราตีเชียงใหม่ โคลงดั้นมี 1 เรื่องคือ ลิลิตยวนพ่าย สมัยอยุธยาตอนกลางโคลงสี่เป็นที่นิยมที่สุด มีวรรณกรรมแต่งด้วยโคลงสี่ถึง 9 เรื่อง ได้แก่ โคลงเรื่องพาลีสอนน้อง โคลงทศรถสอนพระราม โคลงราชสวัสดิ์ กำศรวลโคลงดั้น โคลงเฉลิมพระเกียรติพระนารายณ์มหาราช โคลงนิราศนครสวรรค์ กาพย์ห่อโคลงและโคลงอักษรสามของพระศรีมโหสถ และโคลงทวาทศมาส ในจำนวนนี้เป็นโคลงสี่สุภาพ 7 เรื่อง โคลงสี่ดั้น 2 เรื่องสมัยธนบุรีมี 2 เรื่องคือ โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี และลิลิตเพชรมงกุฎ สมัยรัตนโกสินทร์ กวีนิยมแต่งคำประพันธ์ประเภทกลอน วรรณกรรมที่แต่งด้วยโคลงเด่น ๆ ได้แก่ โคลงดั้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โคลงนิราศตามเสด็จลำน้ำน้อย ลิลิตตะเลงพ่าย โคลงดั้นปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ โคลงนิราศนรินทร์ ลิลิตนารายณ์สิบปาง และสามกรุง เป็นต้น
โคลงสี่ที่กวีนิยมใช้ในวรรณกรรมคือโคลงสี่สุภาพและโคลงดั้นที่ปรากฏอยู่ ในจินดามณี ส่วนโคลงสี่ในตำรากาพย์ไม่พบว่ากวีใช้แต่งวรรณกรรม นอกจากงานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเท่านั้น
วรรณกรรมในแต่ละสมัย กวีใช้โคลงที่มีลักษณะบังคับแตกต่างจากตำราฉันทลักษณ์สรุปได้ 3 ข้อใหญ่ ๆ คือ
1.การบังคับเอก-โท
มีการใช้ลักษณะ เอก 7 โท 5 และใช้โทคู่ในโคลงสี่สุภาพ เช่น ลิลิตพระลอ มหาชาติคำหลวง โคลงมังทรารบเชียงใหม่ และโคลงนิราศหริภุญชัย
๏ ความคิดผิดรีตได้ | ความอาย พี่เอย |
หญิงสื่อชักชวนชาย | สู่หย้าว |
เจ็บเผือว่าแหนงตาย | ดีกว่า ไสร้นา |
เผือหากรักท้าวท้าว | ไม่รู้จักเผือ ๚ |
๏ ไป่ห่อนเหลือคิดข้า | คิดผิด แม่นา |
คิดสิ่งเป็นกลชิด | ชอบแท้ |
มดหมอแห่งใดสิทธิ์ | จักสู่ ธแม่ |
ให้ลอบลองท้าวแล้ | อยู่ได้ฉันใด ๚ |
ลิลิตพระลอ |
๏ พระมล้างท้าวทั่ว | ธรณี |
อันอาจเอากลเอา | ฬ่อเลี้ยง |
พระมาก่อภูมี | ศวรราช |
อันอยู่โดยยุคติเพี้ยง | พ่างอารย ๚ |
๏ พระมาแมนสาธุส้อง | ถวายพร เพิ่มแฮ |
มาสำแดงชัยชาญ | เชี่ยวแกล้ว |
พระมารบาลบร | ทุกทวีป ไส้แฮ |
มาสำแดงฤทธิแผ้ว | แผ่นดิน ๚ |
ลิลิตยวนพ่าย |
- โคลงสี่สุภาพ เอก 7 โท 4
- โคลงสี่สุภาพ เอก 7 โท 5 (โทคู่)
- โคลงสี่ดั้น เอก 7 โท 4
- โคลงสี่ดั้น เอก 7 โท 3 (โทเดี่ยว)
2.การส่งสัมผัส
สัมผัสระหว่างบาท ในตำราฉันทลักษณ์กำหนดสัมผัสระหว่างบาทของโคลงไว้ 4 แบบคือ แบบโคลงสี่สุภาพ แบบโคลงตรีเพชรทัณฑี(หรือโคลงตรีพิธพรรณ) แบบโคลงจัตวาทัณฑี และแบบโคลงสี่ดั้น
ทั้งนี้การกำหนดตรีพิธพรรณ หรือ จัตวาทัณฑีกำหนดที่คำรับสัมผัสในบาทที่สอง ส่วนบาทอื่น ๆ บังคับรับสัมผัสคำที่ 5 แต่เท่าที่ปรากฏในวรรณกรรม กวีมีอิสระที่จะรับสัมผัสในคำที่ 3, 4 หรือ 5 ของทุกบาทในโคลงดั้น และเรียกตามลักษณะคำรับสัมผัสว่า ตรีพิธพรรณหรือจัตวาทัณฑีด้วย เช่น
ตรีพิธพรรณในบาที่สาม จัตวาทัณฑีในบาทที่ 4
๏ เร่งหมั้นเหลือหมั้นยิ่ง | เวียงเหล็ก |
มีกำแพงแลงเลือน | ต่อต้าย |
หัวเมืองเต็กเสียงกล่าว | แก่บ่าว |
ทังขวาทังซ้ายถ้วน | หมู่หมาย ๚ |
กำสรวลโคลงดั้น |
๏ ทสพิธธรรมโมชแท้ | ทศสกนธ |
ทศพัสดุแสดงทส | เกลศกลั้ว |
ทศกายพลทศ | พลภาคย ก็ดี |
ทศอศุภหมั้วห้อม | ห่อสกนธ์ ๚ |
ลิลิตยวนพ่าย |
โดยทั่วไปการส่งสัมผัสระหว่างบทของโคลงสี่ในวรรณกรรมมี 3 แบบ คือ
- แบบที่ 1 ส่งจากคำสุดท้ายของบทแรก ไปยังคำใดคำหนึ่งในวรรคแรกของบทต่อไป มักใช้กับโคลงสี่สุภาพ
- แบบที่ 2 ส่งจากคำสุดท้ายบทแรกไปยังคำที่ 4 หรือ 5 บาทที่สองในบทต่อไป ใช้กับโคลงสี่ดั้นวิวิธมาลี
- แบบที่ 3 ส่งจากคำสุดท้ายบาท 3 ในบทแรกไปยังคำที่ 3, 4 หรือ 5 ในวรรคแรกบทต่อไป กับจากคำสุดท้ายบาท 4 ในบทแรก ไปยังคำที่ 4, 5 ในวรรคแรกบาทสองของบทต่อไป ใช้กับโคลงสี่ดั้นบาทกุญชร
3.การใช้คำสร้อย
ตามตำราฉันทลักษณ์กำหนดไว้ว่า โคลงสี่มีสร้อยได้สองแห่งคือท้ายวรรคแรก และท้ายวรรคที่สาม แต่ในวรรณกรรมกวีทุกสมัยตั้งแต่อยุธยาจนกระทั่งถึงรัชการที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่งโคลงสี่โดยมีสร้อย 3 แห่ง คือ มีสร้อยในบาที่ 4 ด้วย ทั้งโคลงดั้น และโคลงสี่สุภาพ ตัวอย่าง
๏ โฉมแม่จักฝากฟ้า | เกรงอินทร หยอกนา |
อินทรท่านเทอกโฉมเอา | สู่ฟ้า |
โฉมแม่จักฝากดิน | ดินท่าน แล้วแฮ |
ดินฤขัดเจ้าหล้า | สู่สมสองสม ๚ |
๏ โฉมแม่ฝากน่านน้ำ | อรรณพ แลฤๅ |
เยียวนาคเชยชมอก | พี่ไหม้ |
โฉมแม่รำพึงจบ | จอมสวาสดิ์ กูเอย |
โฉมแม่ใครสงวนได้ | เท่าเจ้าสงวนเอง ๚ |
กำสรวลโคลงดั้น |
๏ ตีอกโอ้ลูกแก้ว | กลอยใจ แม่เฮย |
เจ้าแม่มาเป็นใด | ดั่งนี้ |
สมบัติแต่มีใน | ภาพแผ่น เรานา |
อเนกบรู้กี้ | โกฏิไว้จักยา พ่อนา ๚ |
ลิลิตพระลอ |
๏ จรุงพจน์จรดถ้อยห่าง | ทางกวี |
ยังทิวาราตรี | ไม่น้อย |
เทพใดหฤทัยมี | มาโนชญ์ |
เชิญช่วยอวยให้ข้อย | คล่องถ้อยคำแถลง เถิดรา ๚ |
สามกรุง |
โคลงห้า
โคลงห้า เป็นคำประพันธ์ที่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมเพียงเรื่องเดียว คือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ ซึ่งเป็นวรรณกรรมร้อยกรองยุคแรกของไทย และไม่ปรากฏว่าต่อมามีกวีใช้โคลงห้าแต่งวรรณกรรมเรื่องใดอีกเลย
ในจินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี กล่าวถึงโคลงห้าไว้เพียงยกตัวอย่างคำประพันธ์ชื่อ มณฑกคติโคลงห้า โดยไม่มีคำอธิบาย แต่ยกตัวอย่างที่สองว่าเป็น อย่างโคลงแช่งน้ำพระพัฒน์ ซึ่งก็คือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ นั่นเอง มีผู้พยายามอธิบายฉันทลักษณ์ของโคลงห้าอยู่หลายคนได้แก่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี (พ.ณ ประมวญมารค) พระยาอุปกิตศิลปสาร และจิตร ภูมิศักดิ์
คำอธิบายของ จิตร ภูมิศักดิ์ ค่อนข้างจะมีน้ำหนักมากกว่าข้อสันนิษฐานของคนอื่น โดยมีข้อสนับสนุนจากลักษณะโคลงลาวที่ปรากฏในวรรณคดีล้านช้างเรื่อง ท้าวฮุ่งท้าวเจือง โดยจิตร อธิบายว่า โคลงห้าเป็นโคลงดั้นชนิดหนึ่ง มีบาทละ 5 คำ นิยมแต่งในอาณาจักรลาวล้านช้างยุคโบราณ ส่งสัมผัสแบบโคลงบาทกุญชร และอาจเพิ่มคำต้นบาท รวมทั้งมีสร้อยได้ทุกบาท ทั้งยังสามารถตัดใช้เพียงบทละ 2 - 3 บาท ได้เช่นเดียวกับโคลงลาวด้วย อีกทั้งเมื่อจัดวางรูปแบบฉันทลักษณ์ตามที่จิตรเสนอ มีความเป็นไปได้ค่อยข้างมาก ตัวอย่างโคลงห้า จากลิลิตโองการแช่งน้ำ (จัดตามรูปแบบที่จิตรแนะนำ)
๏ นานา | อเนกน้าว | เดิมกัลป์ |
จักร่ำ | จักราพาฬ | เมื่อไหม้ |
กล่าวถึง | ตระวันเจ็ด | อันพลุ่ง |
น้ำแล้งไข้ | ขอดหาย ๚ | |
๏ เจ็ดปลา | มันพุ่งหล้า | เป็นไฟ |
วาบ | จตุราบาย | แผ่นคว่ำ |
ชักไตรตรึงส์ | เป็นเผ้า | |
แลบ่ล้ำ | สีลอง ๚ | |
๏ สมรรถญาณ | ควรเพราะเกล้า | ครองพรหม |
ฝูงเทพ | นองบนปาน | เบียดแป้ง |
สรลมเต็ม | พระสุธาวาส | |
ฟ้าแจ้งจอด | นิโรโธ ๚ | |
๏ กล่าวถึง | น้ำฟ้าฟาด | ฟองหาว |
ดับเดโช | ฉ่ำหล้า | |
ปลาดินดาว | เดือนแอ่น | |
ลมกล้าป่วน | ไปมา ๚ |
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment