Latest News

Saturday, June 7, 2014

โคลง : ฉันทลักษณ์

การจำแนกโคลง
โคลงในวรรณกรรมไทย แบ่งได้ดังนี้ คือ


  • โคลงสอง

    1. โคลงสองสุภาพ
    2. โคลงสองดั้น


  • โคลงสาม

    1. โคลงสามสุภาพ
    2. โคลงสามดั้น


  • โคลงสี่

    1. โคลงสี่สุภาพ
    2. โคลงสี่ดั้น


  • โคลงห้า


  • โคลงสอง


    โคลงสองสุภาพ
    หนึ่งบทมี 14 คำ แบ่งเป็น 3 วรรค 5 - 5 - 4 คำ ตามลำดับ และอาจเพิ่มสร้อยท้ายบทได้อีก 2 คำ บังคับเอก 3 แห่ง โท 3 แห่ง สัมผัสส่งจากท้ายวรรคแรกไปยังท้ายวรรคที่สอง ดังตัวอย่าง
         ๐ ๐ ๐ เอก โท ๐ เอก ๐ ๐ โท
    เอก โท ๐ ๐ (๐ ๐)

         ๏ โคลงสองเป็นอย่างนี้   แสดงแก่กุลบุตรชี้
    เช่นให้เห็นเลบง แบบนา ๚
    หากแต่งหลาย ๆ บท นิยมส่งสัมผัสระหว่างบท จากท้ายบทแรกไปยังคำใดคำหนึ่งในวรรคแรกของบทต่อไป ตัวอย่าง
         ๏ ไก่ขันเขียวผูกช้าง มาเทียมทั้งสองข้าง
    แนบข้างเกยนาง
         ๏ ไป่ทันสางสั่งให้ พระแต่งจงสรรพไว้
    เยียวปู่เจ้าเรามา
         ๏ เผือจักลาแม่ ณ เกล้า   อยู่เยียวเจียนรุ่งเช้า
    จักช้าทางไกล ๚
    ลิลิตพระลอ
    โคลงสองดั้น
    หนึ่งบทมี 12 คำ แบ่งเป็น 3 วรรค วรรคละ 5 - 5 - 2 คำ ตามลำดับ และอาจมีสร้อยท้ายบทได้อีก 2 คำ ส่งสัมผัสแบบเดีวกับโคลงสองสุภาพ บังคับเอก 3 แห่ง โท 3 แห่ง เช่นเดียวกับโคลงสองสุภาพแต่ต่างตำแหน่ง หากแต่งหลายบทมีการส่งสัมผัสเช่นเดียวกับโคลงสองสุภาพ ดังตัวอย่าง
         ๐ ๐ ๐ เอก โท ๐ เอก ๐ โท โท
    เอก ๐ (๐ ๐)

         ๏ โคลงสองเรียกอย่างดั้น   โดยว่าวรรคท้ายนั้น
    เปลี่ยนแปลง
         ๏ แสดงแบบแยบยลให้ กุลบุตรจำไว้ใช้
    แต่งตาม ๚
    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์โคลงสองดั้น โดยบังคับเอก 3 โท 2 (ลดโท) ใน ลิลิตนารายณ์สิบปาง ดังตัวอย่าง
         ๐ ๐ ๐ เอก โท ๐ ๐ ๐ เอก โท
    เอก ๐ (๐ ๐)

         ๏ ทูลคดีแด่ไท้ อีกขอพระจุ่งได้
    ดับเข็ญ ๚
         ๏ พระเป็นเจ้าจึ่งได้ ตรัสตอบว่าท่านไซร้
    ทุกข์เหลือ ๚
         ๏ อยากเอื้อมและช่วยแท้   แต่เรานี้สุดแก้
    พระพรหม ๚
         ๏ อับบรมราชผู้ เป็นหริสิรู้
    อุบาย ๚
         ๏ จงผันผายและเฝ้า วอนพระวิษณุเจ้า
    หริพลัน เถิดนา ๚




    โคลงสาม


    โคลงสามสุภาพ
    บทหนึ่งมี 19 คำ แบ่งเป็น 4 วรรค วรรคละ 5 - 5 - 5 - 4 คำตามลำดับ และอาจมีสร้อยท้ายบทได้อีก 2 คำ เช่นเดียวกับโคลงสองสุภาพ บังคับเอก 3 แห่ง โท 3 แห่ง ส่งสัมผัสเพิ่มจากโคลงสองอีกหนึ่งแห่งจากท้ายวรรคแรกไปยังวรรคที่สอง ดังตัวอย่าง
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ เอก โท
    ๐ เอก ๐ ๐ โท เอก โท ๐ ๐ (๐ ๐)

         ๏ ล่วงลุด่านเจดีย์ สามองค์มีแห่งหั้น
    แดนต่อแดนกันนั้น เพื่อรู้ราวทาง
         ๏ ขับพลวางเข้าแหล่ง   แห่งอยุธเยศหล้า
    แลธุลีฟุ้งฟ้า มืดคลุ้มมัวมล ยิ่งนา ๚
    ลิลิตตะเลงพ่าย
    โคลงสามดั้น
    บทหนึ่งมี 17 คำ แบ่งเป็น 4 วรรค วรรคละ 5 - 5 - 5 - 2 คำตามลำดับ บังคับเอก 3 แห่ง โท 3 แห่ง สัมผัสเหมือนโคลงสามสุภาพ ดังตัวอย่าง
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ เอก โท
    ๐ เอก ๐ โท โท เอก ๐ (๐ ๐)

         ๏ พุทธศกสองพันปี เศษมีแปดสิบเข้า
    เหตุรุ่มรุมร้อนเร้า ย่ำยี
         ๏ มีเมืองทิศตกไถง   คือม่านภัยมุ่งร้าย
    เตลงคั่นบต้านได้ เด็ดลง ๚
    ผืนแผ่นไผทนี้ล้ำ แหล่งคุณ
    เช่นเดียวกับโคลงสองดั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์โคลงสามดั้น โดยบังคับเอก 3 โท 2 ตำแหน่งเดียวกับโคลงสองดั้น ตัวอย่างจาก ลิลิตนารายณ์สิบปาง
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ เอก โท
    ๐ ๐ ๐ เอก โท เอก ๐ (๐ ๐)

         ๏ มุ่งตรงสู่สรยุ บรรลุถึงฝั่งใต้
    เดินเลียบฝั่งนั่นไซร้ ไป่นาน ๚
         ๏ ประมาณได้โยชน์หนึ่ง   จึงพระดาบสเถ้า
    สั่งสองโอรสเจ้า หยุดพลัน ๚


    โคลงสี่


    โคลงสี่ เป็นโคลงที่กวีนิยมแต่งมากที่สุดในกระบวนโคลง สามารถจำแนกโคลงสี่ออกได้หลายประเภท ดังนี้
    โคลงสี่ในจินดามณี
    ใน จินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี กล่าวถึงวิธีการแต่งโคลงสี่ไว้หลายชนิดด้วยกัน คือ โคลงสี่สุภาพ โคลงตรีเพชรทัณฑี โคลงจัตวาทัณฑี โคลงขับไม้ โคลงในกาพย์ห่อโคลง โคลงดั้น ฯลฯ
    โคลงสี่สุภาพ
         ๐ ๐ ๐ เอก โท     ๐ x (๐ ๐)
    ๐ เอก ๐ ๐ x เอก โท
    ๐ ๐ เอก ๐ x ๐ เอก (๐ ๐)
    ๐ เอก ๐ ๐ โท เอก โท ๐ ๐
    หนึ่งบทมี 30 คำ แบ่งเป็น 4 บาท 3 บาทแรก บาทละ 7 คำ บาทที่สี่ 9 คำ แต่ละบาทแบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 5 คำ วรรคหลัง 2 คำ เว้นบาทสุดท้าย 4 คำ มีสร้อยได้ 2 แห่ง โคลงบังคับเอก 7 โท 4 ตามตำแหน่ง สัมผัสคำที่ 7 บาทแรกกับคำที่ 5 ของบาทที่สองและบาทที่สาม กับสัมผัสคำที่ 7 บาทที่สองกับคำที่ 5 บาทที่สี่ เอกโทในบาทแรกอาจสลับที่กันได้ และอนุโลมให้ใช้คำตายแทนเอกได้ ดังตัวอย่าง
         ๏ เสียงลือเสียงเล่าอ้าง   อันใด พี่เอย
    เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
    สองเขือพี่หลับไหล ลืมตื่น ฤๅพี่
    สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ ๚
    ลิลิตพระลอ
    โคลงตรีเพชรทัณฑี
         ๐ ๐ ๐ เอก โท     ๐ x (๐ ๐)
    ๐ เอก x ๐ ๐ เอก โท
    ๐ ๐ เอก ๐ x ๐ เอก (๐ ๐)
    ๐ เอก ๐ ๐ โท เอก โท ๐ ๐
    โคลงตรีเพชรทัณฑีนี้แสดงไว้แต่ตัวอย่าง แต่อาจสังเกตไว้ว่าเหมือนโคลงสี่สุภาพ แต่เลื่อนสัมผัสในบาทที่สอง จากเดิมคำที่ 5 ไปเป็นคำที่ 3 แทน ดังตัวอย่าง
         ๏ ปางนั้นสองราชไท้   ดาบศ
    สาพิมตไปมา กล่าวแก้ว
    ประทานราชเอารส สองราช
    เวนแต่ชูชกแล้ว จึ่งไท้ชมทาน ๚
    (มหาชาติคำหลวง:สักกบรรพ)
    (ใน จินดามณี ฉบับหลวงวงศาธิราชสนิท เรียกโคลงแบบนี้ว่า โคลงตรีพิธพรรณ)
    โคลงจัตวาทัณฑี
         ๐ ๐ ๐ เอก โท     ๐ x (๐ ๐)
    ๐ เอก ๐ x ๐ เอก โท
    ๐ ๐ เอก ๐ x ๐ เอก (๐ ๐)
    ๐ เอก ๐ ๐ โท เอก โท ๐ ๐
    โคลงจัตวาทัณฑี ก็คือโคลงสี่สุภาพที่เลื่อนคำรับสัมผัสในบาที่สองจากคำที่ 5 มาเป็นคำที่ 4 นั่นเองตามตัวอย่าง
         ๏ โคลงหนึ่งนามแจ้งจัต-   วาทัณ ฑีฤๅ
    บังคับรับกันแสดง อย่างพร้อง
    ขบวรแบบแยบยลผัน แผกชนิด อื่นเอย
    ที่สี่บทสองคล้อง ท่อนท้ายบทปถม ๚
    โคลงขับไม้
         ๐ ๐ ๐ ๐ โท     ๐ x (๐ ๐)
    ๐ ๐ ๐ ๐ x โท
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ (๐ ๐)
    ๐ ๐ ๐ ๐ โท ๐ โท ๐ ๐
    โคลงขับไม้ เป็นโคลงสี่สุภาพที่ไม่บังคับเอก บังคับแต่โทสี่แห่ง บาทแรกโทจะอยู่คำที่ 4 หรือ 5 ก็ได้ ให้แต่งครั้งละ 2 บท มีสัมผัสระหว่างบทด้วย ตัวอย่าง
         ๏ พระเกียรติรุ่งฟุ้งเฟื่อง   ฦๅชา
    ทั่วท่วนทุกทิศา นอบน้อม
    ทรงนามไท้เอกา ทศรถ
    กระษัตรมาขึ้นพร้อม บ่เว้นสักคน
         ๏ เดชพระบารมีล้น นันต์
    จักนับด้วยกัปกัลป์ ฤๅได้
    สมภารภูลแต่บรรพ์ นาเนก
    ยิ่งบำเพ็งเพิ่มไว้ กราบเกล้าโมทนา ๚
    โคลงกระทู้
    โคลงกระทู้ เป็นลักษณะพิเศษของการแต่งโคลง โดยบังคับคำขึ้นต้นแต่ละบาทของโคลงส่วนมากมักใช้แต่งกับโคลงสี่ ซึ่งโคลงกระทู้คือโคลงสี่สุภาพนั่นเอง
    บาทละหนึ่งคำ เรียกว่า กระทู้เดี่ยว
    บาทละสองคำ เรียกว่า กระทู้คู่
    บาทละสามคำ เรียกว่า กระทู้สาม
    บาทละสี่คำ เรียกว่า กระทู้สี่
    ลักษณะการใช้กระทู้อาจใช้คำเดียวกันทุกบาท หรือคำต่างชุดกันก็ได้ ถ้าเป็นคำเดียวกันเรียกว่า กระทู้ยืน คำที่นำมาเป็นกระทู้อาจจะมีความหมายหรือไม่ก็ได้ เช่น ทะ-ลุ่ม-ปุ่ม-ปู อาจเป็นคำคล้องจองก็ได้ เช่น หัวล้านได้หวี ตาบอดได้แว่น หรืออาจมีข้อความอื่นใดตามความประสงค์ของผู้ประพันธ์
    ตัวอย่าง โคลงกระทู้ ทะ-ลุ่ม-ปุ่ม-ปู
         ๏ ทะ แกล้วซากเกลื่อนฟื้น   อยุธยา
    ลุ่ม แห่งเลือดน้ำตา ท่วมหล้า
    ปุ่ม อิฐฝุ่นทรายสา- มารถกล่าว
    ปู แผ่สัจจะกล้า ป่าวฟ้าดินฟัง ๚
    กระทู้พม่า
    โคลงกระทู้กวีมักใช้แต่งท้ายเรื่อง เพื่อบอกจุดมุ่งหมายในการแต่งหรือชื่อผู้แต่ง นอกนั้นแต่งแทรกไว้ในวรรณกรรมเพื่อเพิ่มความไพเราะ แสดงความสามารถของผู้แต่ง นอกจากนี้กวีอาจจะดัดแปลงโคลงกระทู้ให้พิศดารตามความประสงค์ก็ได้ เช่น กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ทรงแต่งกาพย์สุรางค์คนางค์ 28 จำนวน 5 บท แล้วนำคำในกาพย์แต่ละวรรคแยกเป็นกระทู้เดี่ยวในโคลงกระทู้ 35 บท หรือนายชิต บุรทัต แต่งวิชชุมาลาฉันท์ 4 บท แล้วนำคำในแต่ละวรรคไปแยกเป็นกระทู้เดี่ยวเป็นโคลง 32 บท เป็นต้น
    โคลงสี่ดั้น
    ในจินดามณีฉบับ พระโหราธิบดี เรียกว่า "ฉันทจรรโลงกลอนดั้น" และมิได้อธิบายอะไร เพียงแต่ยกตัวอย่างโคลงไว้เท่านั้น ต่อมาในจินดามณีฉบับหลวงวงศาธิราชสนิทจึงปรากฏแผนผังสมบูรณ์ และจำแนกโคลงดั้นออกเป็น 2 ชนิด คือ โคลงดั้นวิวิธมาลี และโคลงดั้นบาทกุญชร ตามลักษณะการส่งสัมผัสระหว่างบท ดังตัวอย่าง
         ๐ ๐ ๐ เอก โท ๐ x (๐ ๐)
    ๐ เอก ๐ ๐ ๐ เอก โท
    ๐ ๐ เอก ๐ x เอก (๐ ๐)
    ๐ เอก ๐ โท โท   เอก y
         ๐ ๐ ๐ เอก โท   ๐ x (๐ ๐)
    ๐ เอก ๐ ๐ y เอก โท
    ๐ ๐ เอก ๐ x ๐ เอก (๐ ๐)
    ๐ เอก ๐ โท โท เอก ๐
    โคลงดั้นวิวิธมาลี
    หนึ่งบทมี 28 คำ 4 บาท บาทละ 7 คำ แบ่งเป็นบาทละ 2 วรรค วรรคแรก 5 คำ วรรคหลัง 2 คำ เอก 7 โท 4 เหมือนโคลงสี่สุภาพ ต่างกันที่ตำแหน่งเอกโทในบาทสุดท้าย คำที่ 4 -5 เป็นโทคู่ ส่งสัมผัสระหว่างบทแห่งเดียว คือ คำสุดท้ายบทแรกไปยังคำที่ 5 ในบาทที่สองของบทต่อไป ดังตัวอย่าง
         ๏ เชลงกลโคลงอย่างดั้น บรรยาย
    เสนอชื่อวิวิธมาลี เล่ห์นี้
    ปวงปราชญ์ทั่วทวยหลาย   นิพนธ์เล่น เทอญพ่อ
    ยลเยี่ยงฉบับพู้นชี้ เช่นแถลง
         ๏ เป็นอาภรณ์แก้วก่อง กายกระวี ชาติเอย
    อาตมโอ่โอภาสแสง สว่างหล้า
    เถกิลเกียรติเกริ่นธรณี ทุกแหล่ง หล้านา
    ฦๅทั่วดินฟ้าฟุ้ง เฟื่องคุณ ๚
    โคลงดั้นบาทกุญชร
    บังคับเหมือนวิวิธมาลี แต่ส่งสัมผัสระหว่างบท 2 แห่ง จากคำสุดท้ายบาที่ 3 บทแรกไปยังคำที่ 4 หรือ 5 (คำเอก) ของบทต่อไป กับคำสุดท้ายบาทที่ 4 บทแรกไปคำที่ 4 บาทที่สองของบทต่อไป ดังตัวอย่าง
         ๏ อีกโคลงดั้นหนึ่ง พึงยล
    บอกเช่นบาทกุญชร ชื่ออ้าง
    วิธีที่เลบงกล แปลกก่อน
    ยากกว่าบรรพ์แสร้งสร้าง อื่นแปลง
         ๏ สองรวดกลอนห่อนพลั้ง ผิดพจน์
    เฉกสี่เชิงสารแสดง ย่างผ้าย
    สัมผัสทั่วทุกบท ฤๅเคลื่อน   คลายเอย
    บงดั่งบาทข้างย้าย ต่อตาม ๚
    โคลงสี่ในตำรากาพย์
    เนื่องจากโคลงจากตำรากาพย์ไม่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมเรื่องใดเลย มีอยู่แต่ในตำราแต่งคำประพันธ์เท่านั้น ปราชญ์รุ่นก่อนมักเรียกโคลงเหล่านี้ว่า โคลงโบราณ
              กาพย์สารวิลาสินี
    ในคัมภีร์กาพย์สารวิลาสินีมีโคลงอยู่ 8 ชนิด ได้แก่ วิชชุมาลี มหาวิชชุมาลี จิตรลดา มหาจิตรลดา สินธุมาลี มหาสินธุมาลี นันททายี และมหานันททายี มีลักษณะเด่นคือ ไม่บังคับเอกโท บังคับแต่จำนวนคำ และสัมผัสโคลง 8 ชนิดที่ดัดแปลงมาจากกาพย์สารวิลาสินีดังกล่าวยังอาจแบ่งได้อีกเป็นสองกลุ่มดังต่อไปนี้
    กลุ่มที่หนึ่ง เป็นโคลงที่มียี่สิบแปดคำ (หนึ่งบทมีสี่บาท หนึ่งบาทมีสองวรรค วรรคหน้ามีห้าคำ วรรคหลังมีสองคำ รวมเป็นยี่สิบแปดคำ) ได้แก่ 1) โคลงวิชชุมาลี 2) โคลงจิตรลดา 3) โคลงสินธุมาลี และ 4) โคลงนันททายี โคลงกลุ่มนี้สังเกตได้จากการที่มีวรรคสุดท้ายของบทเพียงสองคำ
    กลุ่มที่สอง เป็นโคลงที่มีสามสิบคำ (หนึ่งบทมีสี่บาท หนึ่งบาทมีสองวรรค วรรคหน้ามีห้าคำ วรรคหลังมีสองคำ ยกเว้นวรรคสุดท้ายของบทมีสี่คำ รวมเป็นสามสิบคำ) ได้แก่ 1) โคลงมหาวิชชุมาลี 2) โคลงมหาจิตรลดา 3) โคลงมหาสินธุมาลี และ 4) โคลงมหานันททายี โคลงกลุ่มนี้สังเกตได้จากการที่มีวรรคสุดท้ายของบทเพียงสี่คำ และมีคำ “มหา” นำหน้าชื่อ
    โคลงวิชชุมาลี และโคลงมหาวิชชุมาลี
    วิชชุมาลี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวประหนึ่งว่าสายฟ้าแลบ
    มหาวิชชุมาลี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวประหนึ่งว่าสายฟ้าแลบใหญ่
    ตัวอย่างโคลงวิชชุมาลี
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐     ๐ x
    ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ y
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐

         ๏ ข้าพระพุทธเกล้า มุนินทร์
    ลายลักษณ์พระบาทหัตถ์   วิจิตร
    ชนนิกรไหว้อาจิณ คืนค่ำ
    ตั้งกระหม่อมข้านิตย์ เท่ามรณ์ ๚
    ตัวอย่างโคลงมหาวิชชุมาลี
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐     ๐ x
    ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ y
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐ ๐ ๐

         ๏ ข้าพระพุทธเกล้า มุนินทร์
    ลายลักษณ์พระบาทหัตถ์   วิจิตร
    ชนนิกรไหว้อาจิณ คืนค่ำ
    ตั้งกระหม่อมข้านิตย์ ต่อเท่าเมื่อมรณ์ ๚
    โคลงจิตรลดา และโคลงมหาจิตรลดา
    จิตรลดา แปลว่า มีระเบียบคำเกี่ยวพันกันประหนึ่งว่าเครือเถาอันงาม
    มหาจิตรลดา แปลว่า มีระเบียบคำเกี่ยวพันกันประหนึ่งว่าเครือเถาอันงามยิ่ง
    ตัวอย่างโคลงจิตรลดา
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐     ๐ x
    ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ y
    ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐ ๐

         ๏ พระจันทร์เพ็งภาคแผ้ว   สรัทกาล
    ชช่วงโชติพรายงาม รุ่งฟ้า
    ให้คนชื่นบานนิตย์ ทุกหมู่
    รัศมีเรืองกล้าแหล่ง เวหา ๚
    ตัวอย่างโคลงมหาจิตรลดา
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐     ๐ x
    ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ y
    ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐ ๐ ๐ ๐

         ๏ พระจันทร์เพ็งภาคแผ้ว   สรัทกาล
    ชช่วงโชติพรายงาม รุ่งฟ้า
    ให้คนชื่นบานนิตย์ ทุกหมู่
    รัศมีเรืองกล้าแหล่ง แห่งห้วงเวหา ๚
    โคลงสินธุมาลี และโคลงมหาสินธุมาลี
    สินธุมาลี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวประหนึ่งว่าระเบียบคลื่นในแม่น้ำ
    มหาสินธุมาลี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวประหนึ่งว่าระเบียบคลื่นในแม่น้ำใหญ่
    ตัวอย่างโคลงสินธุมาลี
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐     ๐ x
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ y
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐

         ๏ ข้าแต่พระพุทธเจ้า ใจปราชญ์
    รัศมีองค์โอภาส รุ่งฟ้า
    พระสุรเสียงเพราะฉลาด   โลมโลก
    สัตบุรุษทั่วหล้า ชมนิตย์ ๚
    ตัวอย่างโคลงมหาสินธุมาลี
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐     ๐ x
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ y
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐ ๐ ๐

         ๏ ข้าแต่พระพุทธเจ้า ใจปราชญ์
    รัศมีองค์โอภาส รุ่งฟ้า
    พระสุรเสียงเพราะฉลาด   โลมโลก
    สัตบุรุษทั่วหล้า ชมนิตย์ชื่นธรรม ๚
    โคลงนันททายี และโคลงมหานันททายี
    นันททายี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวเป็นที่ให้ซึ่งความเพลิดเพลินแก่บุคคลผู้ฟัง
    มหานันททายี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวเป็นที่ให้ซึ่งความเพลิดเพลินแก่บุคคลผู้ฟังยิ่ง
    ตัวอย่างโคลงนันททายี
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐     ๐ x
    ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ y
    ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐ ๐

         ๏ พระสุริยทรงเดช เสด็จฉาย
    หาวหนพรายพรายเรือง   รุ่งเร้า
    ปทุมิกรผายกลีบ รสคลี่
    เฉกพระพุทธเจ้าตรัส เตือนโลก ๚
    ตัวอย่างโคลงมหานันททายี
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐     ๐ x
    ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ y
    ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐ ๐ ๐ ๐

         ๏ พระสุริยทรงเดช เสด็จฉาย
    หาวหนพรายพรายเรือง   รุ่งเร้า
    ปทุมิกรผายกลีบ รสคลี่
    เฉกพระพุทธเจ้าตรัส เตือนโลกเห็นธรรม ๚
              กาพย์คันถะ
    ในคัมภีร์กาพย์คันถะ มีโคลงสี่อยู่ 2 ชนิด คือ ทีฆปักข์ และรัสสปักข์ มีลักษณะเด่นเช่นเดียวกับโคลงในกาพย์สารวิลาสีนี คือ ไม่บังคับเอกโท กำหนดแต่จำนวนคำและสัมผัส
    โคลงทีฆปักข์
    ทีฆปักข์ แปลว่า มีฝักฝ่ายยาว เพราะคำรับสัมผัสผ่อนยาวออกไปทุกบาท ตั้งแต่คำที่ 5 - 4 - 3 ตามลำดับ
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐     ๐ x
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ y
    ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ ๐
    ๐ ๐ y ๐ ๐ ๐ ๐

         ๏ หญิงดำขำเกลี้ยงยิ่ง     มีสี
    ธรรมอื่นเทียมขันตี ไป่ได้
    คำชาวบุรีไพ เราะพ่อ
    สัตว์สบใกล้สีหลี้ หลบแสยง ๚
    โคลงรัสสปักข์
    รัสสปักข์ แปลว่า มีฝักฝ่ายสั้น เพราะคำรับสัมผัสคงที่คำรับคำที่ 5 ทุกบาท
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐     ๐ x
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ ๐ ๐

         ๏ ชนใดหลงเล่ห์เกื้อ   กลกาม
    ลุเล่ห์กิเลสราม รื่นเร้า
    ชนนั้นจะพ้นความ ทุกข์ฤๅ
    กระวีพึงเว้นข้าม แห่งห้วงกามา ๚ะ

    เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้โคลงชนิดต่าง ๆ ในคัมภีร์กาพย์จะบอกว่ามิได้บังคับเอกโท แต่ตัวอย่างที่ให้ไว้ส่วนใหญ่มักมีเอกโท ตามตำแหน่งที่เด่นของโคลงสี่เสมอ
    โคลงสี่ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์ขึ้น
    พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดัดแปลงสัมผัสของโคลงในตำรากาพย์สารวิลาสีนีทั้ง 4 ชนิด แล้วทรงเรียกว่า โคลงโบราณแผลง ดังตัวอย่าง
    โคลงวิชชุมาลีแผลง
    เปลี่ยนการรับสัมผัสจากคำที่ 5 บาทที่สี่เป็นคำที่ 4 บาทที่สี่แทน
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ x
    ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ y
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐ ๐

         ๏ ข้าแต่พระพุทธเกล้า     มุนินทร์
    ลายลักษณะบาทหัตถ์ วิจิตร
    ชนนิกรไหว้อาจิณ คืนค่ำ
    ตั้งกระหม่อมนิตย์ข้า ดุษฎี ๚
    โคลงจิตรลดาแผลง
    เปลี่ยนการรับสัมผัสในบาทที่สี่ จากคำที่ 4 มาเป็นคำที่ 5
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ x
    ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ y
    ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐

         ๏ พระจันทรเพ็ญแผ้ว     สรัทกาล
    ชะช่วงโชติพรายงาม รุ่งฟ้า
    ให้คนชื่นบานนิตย์ ทุกหมู่
    รัศมีเรืองโรจน์กล้า เวหา ๚
    โคลงสินธุมาลีแผลง
    เปลี่ยนคำสัมผัสในบาทที่สี่ จากเดิมคำที่ 5 มาเป็นคำที่ 4
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ x
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ y
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐ ๐

         ๏ ข้าแต่พระพุทธเจ้า ใจปราชญ์
    รัศมีองค์โอภาส รุ่งฟ้า
    พระสุรเสียงเพราะฉลาด     โลมโลก
    สัตบุรุษส้าเสก ชมนิตย์ ๚
    โคลงนันททายีแผลง
    เปลี่ยนคำสัมผัสในบาทที่สี่ จากเดิมคำที่ 5 มาเป็นคำที่ 4
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ x
    ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ y
    ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐ ๐

         ๏ พระสุริยะทรงเดช เสด็จฉาย
    หาวหนพรายพรายเรือง     รุ่งเร้า
    ปทุมิกรผายกลีบ รสคลี่
    เฉกพระเป็นเจ้าตรัส เตือนโลก ๚

    นอกจากนี้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงการส่งสัมผัส พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประดิษฐ์โคลงเลียนแบบโคลงในตำรากาพย์ คือไม่บังคับเอกโท อีก 4 แบบ ใช้ในพระราชนิพนธ์กถานมัสการพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระรัตนตรัย คือ โคลงวชิระมาลี โคลงมุกตะมาลี โคลงรัตนะมาลี และโคลงจิตระมาลี ดังตัวอย่าง
    โคลงวชิระมาลี
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ x
    ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ y
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐

         ๏ องค์พระพุทธเจ้า     โคบาล
    สอนธรรมสมานจิต สัตบุรุษ
    นำแน่วสู่นิรพาณ พ้นทุกข์
    พระนราสภสุทธิ์ ศาสดา ๚
    โคลงมุกตะมาลี
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ x
    ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ y
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐ ๐

         ๏ ธรรมชาติดิเรกรุ้ง     ชวลิต
    น้อมนำดวงจิตรจร สู่ชอบ
    สละไตรทุจริต เห็นโทษ
    ธรรมะดั่งกอบแก้ว โกยทอง ๚
    โคลงรัตนะมาลี
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ x
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ y
    ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐

         ๏ อีกผองสาวกเจ้า ทรงจำ
    กำหนดบทพระธรรม สอนโลก
    สงฆ์ประดุจนำทาง รอดบาป
    เหมือนช่วยให้ส่างโศก     สุดภัย ๚
    โคลงจิตระมาลี
         ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ x
    ๐ ๐ ๐ ๐ x ๐ y
    ๐ ๐ ๐ x ๐ ๐ ๐
    ๐ ๐ ๐ y ๐ ๐ ๐

         ๏ ไตรรัตน์ชงัดยิ่ง เทวัญ
    ใครพึ่งพึงสู่สวรรค์ แม่นแท้
    ไตรรัตน์ย่อมกันภัย     อุบาทว์
    ใครพึ่งถึงแม้ทุกข์ เสื่อมสูญ ๚
    ความแตกต่างของโคลงสี่ในวรรณกรรมกับโคลงสี่ในตำราคำประพันธ์
    โคลงสี่ปรากฏในวรรณกรรมตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยในสมัยอยุธยาตอนต้น เป็นโคลงสี่สุภาพ 3 เรื่องคือ ลิลิตพระลอ โคลงนิราศหริภุญชัย โคลงมังทราตีเชียงใหม่ โคลงดั้นมี 1 เรื่องคือ ลิลิตยวนพ่าย สมัยอยุธยาตอนกลางโคลงสี่เป็นที่นิยมที่สุด มีวรรณกรรมแต่งด้วยโคลงสี่ถึง 9 เรื่อง ได้แก่ โคลงเรื่องพาลีสอนน้อง โคลงทศรถสอนพระราม โคลงราชสวัสดิ์ กำศรวลโคลงดั้น โคลงเฉลิมพระเกียรติพระนารายณ์มหาราช โคลงนิราศนครสวรรค์ กาพย์ห่อโคลงและโคลงอักษรสามของพระศรีมโหสถ และโคลงทวาทศมาส ในจำนวนนี้เป็นโคลงสี่สุภาพ 7 เรื่อง โคลงสี่ดั้น 2 เรื่อง
    สมัยธนบุรีมี 2 เรื่องคือ โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี และลิลิตเพชรมงกุฎ สมัยรัตนโกสินทร์ กวีนิยมแต่งคำประพันธ์ประเภทกลอน วรรณกรรมที่แต่งด้วยโคลงเด่น ๆ ได้แก่ โคลงดั้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โคลงนิราศตามเสด็จลำน้ำน้อย ลิลิตตะเลงพ่าย โคลงดั้นปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ โคลงนิราศนรินทร์ ลิลิตนารายณ์สิบปาง และสามกรุง เป็นต้น
    โคลงสี่ที่กวีนิยมใช้ในวรรณกรรมคือโคลงสี่สุภาพและโคลงดั้นที่ปรากฏอยู่ ในจินดามณี ส่วนโคลงสี่ในตำรากาพย์ไม่พบว่ากวีใช้แต่งวรรณกรรม นอกจากงานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเท่านั้น
    วรรณกรรมในแต่ละสมัย กวีใช้โคลงที่มีลักษณะบังคับแตกต่างจากตำราฉันทลักษณ์สรุปได้ 3 ข้อใหญ่ ๆ คือ
    1.การบังคับเอก-โท
    มีการใช้ลักษณะ เอก 7 โท 5 และใช้โทคู่ในโคลงสี่สุภาพ เช่น ลิลิตพระลอ มหาชาติคำหลวง โคลงมังทรารบเชียงใหม่ และโคลงนิราศหริภุญชัย
         ๏ ความคิดผิดรีตได้ ความอาย พี่เอย
    หญิงสื่อชักชวนชาย สู่หย้าว
    เจ็บเผือว่าแหนงตาย ดีกว่า ไสร้นา
    เผือหากรักท้าวท้าว ไม่รู้จักเผือ ๚
         ๏ ไป่ห่อนเหลือคิดข้า     คิดผิด แม่นา
    คิดสิ่งเป็นกลชิด ชอบแท้
    มดหมอแห่งใดสิทธิ์ จักสู่ ธแม่
    ให้ลอบลองท้าวแล้ อยู่ได้ฉันใด ๚
    ลิลิตพระลอ
    มีการใช้เอก 7 โท 3 และไม่ใช้โทคู่ในโคลงสี่ดั้น เช่น ลิลิตยวนพ่าย โคลงทวาทศมาส กำสรวลโคลงดั้น และโคลงดั้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
         ๏ พระมล้างท้าวทั่ว ธรณี
    อันอาจเอากลเอา ฬ่อเลี้ยง
    พระมาก่อภูมี ศวรราช
    อันอยู่โดยยุคติเพี้ยง พ่างอารย ๚
         ๏ พระมาแมนสาธุส้อง     ถวายพร เพิ่มแฮ
    มาสำแดงชัยชาญ เชี่ยวแกล้ว
    พระมารบาลบร ทุกทวีป ไส้แฮ
    มาสำแดงฤทธิแผ้ว แผ่นดิน ๚
    ลิลิตยวนพ่าย
    ดังนั้น หากนับจากข้อมูลในวรรณกรรม โคลงสี่ จึงควรมี 4 รูปแบบคือ
    1. โคลงสี่สุภาพ เอก 7 โท 4
    2. โคลงสี่สุภาพ เอก 7 โท 5 (โทคู่)
    3. โคลงสี่ดั้น เอก 7 โท 4
    4. โคลงสี่ดั้น เอก 7 โท 3 (โทเดี่ยว)

    2.การส่งสัมผัส
    สัมผัสระหว่างบาท ในตำราฉันทลักษณ์กำหนดสัมผัสระหว่างบาทของโคลงไว้ 4 แบบคือ แบบโคลงสี่สุภาพ แบบโคลงตรีเพชรทัณฑี(หรือโคลงตรีพิธพรรณ) แบบโคลงจัตวาทัณฑี และแบบโคลงสี่ดั้น
    ทั้งนี้การกำหนดตรีพิธพรรณ หรือ จัตวาทัณฑีกำหนดที่คำรับสัมผัสในบาทที่สอง ส่วนบาทอื่น ๆ บังคับรับสัมผัสคำที่ 5 แต่เท่าที่ปรากฏในวรรณกรรม กวีมีอิสระที่จะรับสัมผัสในคำที่ 3, 4 หรือ 5 ของทุกบาทในโคลงดั้น และเรียกตามลักษณะคำรับสัมผัสว่า ตรีพิธพรรณหรือจัตวาทัณฑีด้วย เช่น
    ตรีพิธพรรณในบาที่สาม จัตวาทัณฑีในบาทที่ 4
         ๏ เร่งหมั้นเหลือหมั้นยิ่ง     เวียงเหล็ก
    มีกำแพงแลงเลือน ต่อต้าย
    หัวเมืองเต็กเสียงกล่าว แก่บ่าว
    ทังขวาทังซ้ายถ้วน หมู่หมาย ๚
    กำสรวลโคลงดั้น
    จัตวาทัณฑี รับสัมผัสคำที่ 4 บาทสามและสี่
         ๏ ทสพิธธรรมโมชแท้     ทศสกนธ
    ทศพัสดุแสดงทส เกลศกลั้ว
    ทศกายพลทศ พลภาคย ก็ดี
    ทศอศุภหมั้วห้อม ห่อสกนธ์ ๚
    ลิลิตยวนพ่าย
    สัมผัสระหว่างบท
    โดยทั่วไปการส่งสัมผัสระหว่างบทของโคลงสี่ในวรรณกรรมมี 3 แบบ คือ
    1. แบบที่ 1 ส่งจากคำสุดท้ายของบทแรก ไปยังคำใดคำหนึ่งในวรรคแรกของบทต่อไป มักใช้กับโคลงสี่สุภาพ
    2. แบบที่ 2 ส่งจากคำสุดท้ายบทแรกไปยังคำที่ 4 หรือ 5 บาทที่สองในบทต่อไป ใช้กับโคลงสี่ดั้นวิวิธมาลี
    3. แบบที่ 3 ส่งจากคำสุดท้ายบาท 3 ในบทแรกไปยังคำที่ 3, 4 หรือ 5 ในวรรคแรกบทต่อไป กับจากคำสุดท้ายบาท 4 ในบทแรก ไปยังคำที่ 4, 5 ในวรรคแรกบาทสองของบทต่อไป ใช้กับโคลงสี่ดั้นบาทกุญชร
    แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีวรรณกรรมบางเรื่องส่งสัมผัสระหว่างบทออกไป เช่น ในมหาชาติคำหลวง กัณฑ์มหาพน มีโคลงสี่สุภาพและโคลงตรีพิธพรรณส่งสัมผัสระหว่างบทแบบโคลงบาทกุญชร ในจิดามณี มีโคลงขับไม้ส่งสัมผัสระหว่างบทแบบโคลงวิวิธมาลี ในลิลิตนารายณ์สิบปาง และพระนลคำหลวง มีโคลงสี่ดั้น และโคลงในตำรากาพย์ ส่งสัมผัสระหว่างบทแบบโคลงสี่สุภาพ
    3.การใช้คำสร้อย
    ตามตำราฉันทลักษณ์กำหนดไว้ว่า โคลงสี่มีสร้อยได้สองแห่งคือท้ายวรรคแรก และท้ายวรรคที่สาม แต่ในวรรณกรรมกวีทุกสมัยตั้งแต่อยุธยาจนกระทั่งถึงรัชการที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่งโคลงสี่โดยมีสร้อย 3 แห่ง คือ มีสร้อยในบาที่ 4 ด้วย ทั้งโคลงดั้น และโคลงสี่สุภาพ ตัวอย่าง
         ๏ โฉมแม่จักฝากฟ้า เกรงอินทร หยอกนา
    อินทรท่านเทอกโฉมเอา     สู่ฟ้า
    โฉมแม่จักฝากดิน ดินท่าน แล้วแฮ
    ดินฤขัดเจ้าหล้า สู่สมสองสม
         ๏ โฉมแม่ฝากน่านน้ำ อรรณพ แลฤๅ
    เยียวนาคเชยชมอก พี่ไหม้
    โฉมแม่รำพึงจบ จอมสวาสดิ์ กูเอย
    โฉมแม่ใครสงวนได้ เท่าเจ้าสงวนเอง
    กำสรวลโคลงดั้น

         ๏ ตีอกโอ้ลูกแก้ว     กลอยใจ แม่เฮย
    เจ้าแม่มาเป็นใด ดั่งนี้
    สมบัติแต่มีใน ภาพแผ่น เรานา
    อเนกบรู้กี้ โกฏิไว้จักยา พ่อนา
    ลิลิตพระลอ

         ๏ จรุงพจน์จรดถ้อยห่าง     ทางกวี
    ยังทิวาราตรี ไม่น้อย
    เทพใดหฤทัยมี มาโนชญ์
    เชิญช่วยอวยให้ข้อย คล่องถ้อยคำแถลง เถิดรา
    สามกรุง
    ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า โคลงสี่วรรณคดีมีการใช้สร้อยทั้ง 3 แห่ง คือ บาทแรก บาทที่สาม และบาทที่สี่


    โคลงห้า


    โคลงห้า เป็นคำประพันธ์ที่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมเพียงเรื่องเดียว คือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ ซึ่งเป็นวรรณกรรมร้อยกรองยุคแรกของไทย และไม่ปรากฏว่าต่อมามีกวีใช้โคลงห้าแต่งวรรณกรรมเรื่องใดอีกเลย
    ในจินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี กล่าวถึงโคลงห้าไว้เพียงยกตัวอย่างคำประพันธ์ชื่อ มณฑกคติโคลงห้า โดยไม่มีคำอธิบาย แต่ยกตัวอย่างที่สองว่าเป็น อย่างโคลงแช่งน้ำพระพัฒน์ ซึ่งก็คือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ นั่นเอง มีผู้พยายามอธิบายฉันทลักษณ์ของโคลงห้าอยู่หลายคนได้แก่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี (พ.ณ ประมวญมารค) พระยาอุปกิตศิลปสาร และจิตร ภูมิศักดิ์
    คำอธิบายของ จิตร ภูมิศักดิ์ ค่อนข้างจะมีน้ำหนักมากกว่าข้อสันนิษฐานของคนอื่น โดยมีข้อสนับสนุนจากลักษณะโคลงลาวที่ปรากฏในวรรณคดีล้านช้างเรื่อง ท้าวฮุ่งท้าวเจือง โดยจิตร อธิบายว่า โคลงห้าเป็นโคลงดั้นชนิดหนึ่ง มีบาทละ 5 คำ นิยมแต่งในอาณาจักรลาวล้านช้างยุคโบราณ ส่งสัมผัสแบบโคลงบาทกุญชร และอาจเพิ่มคำต้นบาท รวมทั้งมีสร้อยได้ทุกบาท ทั้งยังสามารถตัดใช้เพียงบทละ 2 - 3 บาท ได้เช่นเดียวกับโคลงลาวด้วย อีกทั้งเมื่อจัดวางรูปแบบฉันทลักษณ์ตามที่จิตรเสนอ มีความเป็นไปได้ค่อยข้างมาก ตัวอย่างโคลงห้า จากลิลิตโองการแช่งน้ำ (จัดตามรูปแบบที่จิตรแนะนำ)
     ๏ นานา อเนกน้าว เดิมกัลป์
    จักร่ำ จักราพาฬ เมื่อไหม้
    กล่าวถึง ตระวันเจ็ด อันพลุ่ง

    น้ำแล้งไข้ ขอดหาย ๚
     ๏ เจ็ดปลา มันพุ่งหล้า เป็นไฟ
    วาบ จตุราบาย แผ่นคว่ำ

    ชักไตรตรึงส์ เป็นเผ้า

    แลบ่ล้ำ สีลอง ๚
     ๏ สมรรถญาณ   ควรเพราะเกล้า   ครองพรหม
    ฝูงเทพ นองบนปาน เบียดแป้ง

    สรลมเต็ม พระสุธาวาส

    ฟ้าแจ้งจอด นิโรโธ ๚
     ๏ กล่าวถึง น้ำฟ้าฟาด ฟองหาว

    ดับเดโช ฉ่ำหล้า

    ปลาดินดาว เดือนแอ่น

    ลมกล้าป่วน ไปมา ๚



    โคลง : ฉันทลักษณ์
    • Blogger Comments
    • Facebook Comments

    0 ความคิดเห็น:

    Post a Comment

    Top