| นิราศหนองคาย |
|
| กวี : หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) |
|
| ประเภท : กลอนนิราศ |
|
|
| ๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุ | | ในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม
|
| บังเกิดพวกอ้ายฮ่อมาก่อความ | | ทำสงครามกับลาวพวกชาวเวียง
|
| ซึ่งเจ้าเมืองเขตขัณฑ์ตะวันออก | | ก็แต่งบอกเขียนหนังสือลงชื่อเสียง
|
| ในเขตแดนหนองคายเมืองรายเรียง | | เมืองใกล้เคียงบอกบั่นกระชั้นมา
|
| ว่าล้วนพวกอ้ายฮ่อทรลักษณ์ | | ประมาณสักสามพันล้วนกลั่นกล้า
|
| เที่ยวรบปล้นขนทรัพย์จับประชา | | ลาวระอามิได้อาจขยาดกลัว ฯ
|
|
|
| ๏ สมเด็จพระปรมินทร์บดินทร์เดช | | ซึ่งปกเกศร่มเกล้าเจ้าอยู่หัว
|
| สดับเรื่องเมืองบนกระมลมัว | | ศึกพันพัวราษฎร์ประเทศในเขตคัน
|
| ด้วยไพร่บ้านพลเมืองจะเคืองขุ่น | | ทรงการุญราษฎรคิดผ่อนผัน
|
| เชิญสมเด็จเจ้าพระยาปรึกษาพลัน | | พร้อมด้วยพันธุพงศ์พระวงศ์วาน
|
| เห็นแต่เจ้าพระยามหินทร์เคาซิลลอ | | เป็นเนื้อหน่อพงศ์เผ่าเหล่าทหาร
|
| พอจะเป็นแม่ทัพรับราชการ | | ที่รำคาญขุ่นข้องเมืองหนองคาย
|
| แล้วจัดพระยา, พระ, หลวงทั้งปวงอีก | | ให้เป็นปีกซ้ายขวาทัพหน้าหลาย
|
| ทั้งเกณฑ์เลขสมฉกรรจ์พันทนาย | | ทั้งเลขจ่ายตามกรมระดมกัน
|
| เกณฑ์เลขทาสทั้งที่มีค่าตัว | | ดูนุงนัวนายหมวดเร่งกวดขัน
|
| ผู้ที่เป็นมุลนายวุ่นวายครัน | | บ้างใช้ปัญญาหลอกบอกอุบาย
|
| ว่าตัวทาสหลบลี้หนีไม่อยู่ | | ข้างเจ้าหมู่เกาะตัวจำนำใจหาย
|
| ที่ตัวทาสหนีจริงวิ่งตะกาย | | ทำวุ่นวายยับเยินเสียเงินทอง
|
| เกณฑ์ขุนหมื่นขึ้นใหม่ในเบี้ยหวัด | | ขุนหมื่นตัดเกณฑ์ตามเอาสามสอง
|
| ท่านนายเวรเกณฑ์กวดเต็มหมวดกอง | | เอาข้าวของเงินตราปัญญาดี
|
| เหล่าพวกขุนหมื่นไพร่ต้องไปทัพ | | ที่มีทรัพย์พอจะจ่ายไม่หน่ายหนี
|
| สู้จ้างคนแทนตัวกลัวไพรี | | ที่เงินมีเขาไม่อยากจะจากจร ฯ
|
|
|
| ๏ ฉันจำร้างห่างมิตรขนิษฐ์นาฏ | | หวาน(?)สวาทด้วยจะร้างห่างสมร
|
| แสนถวิลจินดาด้วยอาวรณ์ | | สะท้อนถอนฤทัยอาลัยครวญ
|
| กางกรประคองกอดแม่ยอดรัก | | พิศพักตร์สาวน้อยละห้อยหวน
|
| นึกก็น่าใจหายเสียดายนวล | | ด้วยจำด่วนจากนางไปห่างเรือน
|
| แสนสงสารแต่พธูจะอยู่เดียว | | นึกเฉลียวอาลัยใครจะเหมือน
|
| พึ่งอยู่กินด้วยพี่สักสี่เดือน | | จะจากเพื่อนพิศวาสแทบขาดใจ
|
| ครั้นเห็นน้องนองเนตรสังเวชจิต | | นึกหวนคิดว่าจะเบือนเชือนไถล
|
| จะบอกป่วยเสียให้มากไม่อยากไป | | กลัวจะไม่เป็นธรรม์กตัญญู
|
| นายมีกิจควรคิดเอาตัวรอด | | คนจะย้อนค่อนขอดได้อดสู
|
| ต้องจำใจจำร้างห่างพธู | | จงเชิญอยู่ให้เป็นสุขสนุกดี
|
| อย่าร้องไห้จะเป็นลางจงสร่างโศก | | อย่าวิโยคนักน้องจะหมองศรี
|
| แม้นตั้งใจไว้ท่าไม่ราคี | | นั่นแลมีความชอบฉันขอบใจ ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงวันพุธเดือนสิบแรมแปดค่ำ | | เป็นวันอำมฤตโชคโฉลกใหญ่
|
| ณ ปีกุนสัปตกศกจะยกไป | | จำครรไลโลมลาสุดาดวง
|
| น้ำตาไหลพรากพรากออกจากห้อง | | เหลียวดูน้องใจหายไม่วายห่วง
|
| ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมทรวง | | แล้วเลยล่วงอำลาแม่อาพลัน
|
| ท่านก็ร่ำอวยชัยให้เป็นสุข | | อย่ามีทุกข์อันตรายทางผายผัน
|
| สวัสดีมีชัยพ้นภัยยัน | | เมื่อกลับนั้นจงเป็นสุขสิ้นทุกข์ร้อน
|
| ลงจากเรือนเบือนดูแม่คู่ชื่น | | ถอนสะอื้นโหยไห้ฤทัยถอน
|
| สละรักหักใจอาลัยวรณ์ | | ฝืนใจจรรีบเดินเมินไม่มอง
|
| มาครู่หนึ่งถึงสถานบ้านเจ้าคุณ | | กำลังวุ่นผู้คนเขาขนของ
|
| ฉันฝืนพักตร์เข้าฝาน้ำตานอง | | ใจสยองยิ่งสลดระทดระทม
|
| แสนคะนึงภึงมิตรพิศวาส | | ใจจะขาดลงด้วยร้างห่างคู่สม
|
| ค่อยแข็งขืนกลืนน้ำตาหักอารมณ์ | | ครั้นวายตรมแล้วมานั่งคอยฟังการ
|
| คนพร้อมพรั่งนั่งรอหน้าหอใหญ่ | | ทั้งพวกไพร่เหล่าพหลพลทหาร
|
| บ้างขนเสบียงลงเรือเกลือน้ำตาล | | ทั้งข้าวสารข้าวตากและหมากพลู
|
| ของเจ้าคุณขนเนื่องทั้งเครื่องใช้ | | คนขนไม่หยุดหย่อนร้องอ่อนหู
|
| เกินจะพรรณนาเหลือตาดู | | เครื่องคาวหวานมีอยู่ก็มากครัน
|
| เครื่องอาวุธสารพัดท่านจัดซื้อ | | ล้วนเครื่องมอรบทัพดูขับขัน
|
| ซื้อเสื้อหมวกแจกจ่ายเป็นหลายพัน | | ล้วนแพรพรรณสักหลาดสะอาดตา
|
| ลงทุนซื้อของมีบัญชีเสร็จ | | สักร้อยเจ็ดสิบชั่งก็ยังกว่า
|
| เครื่องหน้าไม้เครื่องมือซื้อเอามา | | ทั้งมีดพร้าจอบเสียบก็เตรียมการ
|
| และท่านทำแหวนเพชรสิบเอ็ดวง | | หวังใจจงแจกจ่ายนายทหาร
|
| ที่ไม่คิดย่อหย่อนเข้ารอนราญ | | ใครทำการศึกสำเร็จบำเหน็จมือ
|
| ทั้งเสื้อผ้าสารพัดท่านจัดครบ | | ถ้าใครรบจริงจริงไม่วิ่งตื๋อ
|
| เข้าตีข้าศึกแยกให้แตกฮือ | | จดเอาชื่อแล้วจะได้ให้รางวัล ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นบ่ายสามโมงถ้วนจวนจะฤกษ์ | | เอิกเกริกไพร่นายเตรียมผายผัน
|
| พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาพลัน | | เจ้าคุณนั้นออกมารับคำนับกาย
|
| พร้อมสมณพราหมณาโหราศาสตร์ | | นั่งเกลื่อนกลาดเคียงขนานประมาณหลาย
|
| พนักงานตั้งเตียงไว้เรียงราย | | ที่อาบสายชลธาร์เบญจางาม
|
| เจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมสมเด็จ | | แล้วก็เสร็จสู่เบญจาหน้าสนาม
|
| สรงพุทธมนต์ชลอาบปราบสงคราม | | ขึ้นเหยียบไม้ข่มนามศัตรูพาล
|
| พระสงฆ์องค์สมมุตวงศ์พุทโธ | | ชยันโตสำเนียงเสียงประสาน
|
| เสียงฆ้องชัยลั่นต้องก้องกังวาน | | โหราจารย์พรามหมณ์เคาะบัณเฑาะว์ดัง
|
| พระครูโหรอวยชัยให้เดชะ | | พระหมณะผู้เฒ่าก็เป่าสังข์
|
| พร้อมด้วยเหล่าเจ้าพระยาดาประดัง | | ขุนนางนั่งสลอนอวยพรชัย ฯ
|
|
|
| ๏ ฝ่ายเจ้าคุณแม่ทัพครั้นสรรพเสร็จ | | น้อมสมเด็จเจ้าพระยาอัชฌาสัย
|
| ออกมานั่งคอยฤก์เบิกบานใจ | | ผินพักตร์ไปฝ่ายบุรพาทางนาคิน
|
| ท่านสมเด็จเจ้าพระยาคอยหาฤกษ์ | | พอเมฆเลิกดูอุดมสมถวิล
|
| สุริยงทรงรถหมดมลทิน | | ทางกสิณบริบูรณ์เพิ่มพูนดี
|
| สมเด็จท่านขานไขบอกได้ฤกษ์ | | แล้วให้เบิกฆ้องชัยได้ดิถี
|
| ก็โห่ร้องเอาชัยปราบไพรี | | ท่านแม่ทัพจรลีลงเรือพลัน
|
| ฝีพายพลโห่ร้องก้องสะเทือน | | เสร็จคลาเคลื่อนกองทัพดูคับขัน
|
| เรือกระบวนสวนแซงพายแย่งกัน | | เสียงสนั่นเป็นระลอกกระฉอกชล
|
| ทั้งสองฟากเรือตลอดจอดเป็นหมู่ | | ล้วนคนดูกองทัพเรือสับสน
|
| กลามตลอดจอดแพออกแจจน | | กญิงชายบนตลิ่งดูอยู่สำราญ
|
| ดูเรือแพแออัดสงัดหาย | | ไม่อาจพายออกมาตัดหน้าฉาน
|
| กลัวจะกีดกันขวางทางชลธาร | | หลบหนีซ่านเข้าจอดตลอดมา ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงตำหนักแพแลไสว | | พวกข้างในนั่งอยู่ดูหนักหนา
|
| ปางพระจอมจักรพรรดิ์กษัตรา | | เสด็จมาคอยรับกองทัพเอง
|
| เหล่าขุนนางแวดล้อมอยู่พร้อมพรั่ง | | ลงที่นั่งปิกนิกกั้นบดเก๋ง
|
| ทอดพระเนตรเรือแพทรงแลเล็ง | | เสียงแซ่เซ็งแตรฝรั่งก้องกังวาน
|
| เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ | | ถวายคำนับน้อมจอมสถาน
|
| แล้วถวายบังคมราบลงกราบกราน | | ตามบูราณประเพณีที่มีมา
|
| กรุงกษัตริย์จิ้มเจิมเฉลิมพักตร์ | | ทรงสังข์ทักษิณาวัฏต่อหัตถา
|
| เป็นสังข์เวียนซ้ายเรียกทักษิณา | | เป็นภาษาไพร่คิดโดยจิตเดา
|
| ด้วยฉันมาหน้าแคร่ท่านแม่ทัพ | | ครั้นได้รับน้ำสังข์ไม่นั่งเหงา
|
| เป็นเหตุให้ทุกข์สร่างลงบางเบา | | แต่ยังเมาโศกรักหนักอาวรณ์
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | | ฝ่ายพระจอมบพิตรอดิศร
|
| เสด็จทรงสังข์สรรเสริญเจริญพร | | แล้วกรายกรหยิบนาฬิกามาประทาน
|
| ทองคำทำตลับระยับย้อย | | ทั้งสายสร้อยสามกษัตริย์จัดประสาน
|
| พระจอมนาถมีพระราชโองการ | | ว่าของนานทำไว้จะให้เธอ
|
| ฉันลงชื่อเขียนไว้ในตลับ | | เจ้าคุณรับได้ของประคองเสนอ
|
| ถวายคำนับซ้ำทำบำเรอ | | เสด็จเผยอเรือออกบอกฝีพาย
|
| ครั้นเรือออกประตูฝ่านาวาคล้อย | | พระสงฆ์คอยประน้ำมนต์พลทั้งหลาย
|
| คนในเรือรับพลางต่างวางพาย | | น้อมถวายบังคมประนมกร ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นล่วงพ้นโขลนทวารก็ขานโห่ | | เสียงก้องโกลาหลพลสลอน
|
| เอิกเกริกเร่งมาในสาคร | | เรือกระฉ่อนน้ำกระฉอกละลอกโครม
|
| เหล่าคนดูเรือจอดตลอดทั่ว | | ล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดโฉม
|
| ที่สาวแท้แลแต่ไกลน่าใคร่โลม | | ฉันหน่งโน้มหักใจอาลัยวอน
|
| พวกคนดูถึงว่าที่มีสกุล | | เห็นเจ้าคุณไหว้คำนับสลับสลอน
|
| บางคนไหว้แล้วช่วยอำนวยพร | | ประนมกรหยุดจอดตลอดมา ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงตำหนักแพวังหน้านาวาตรง | | มีพระสงฆ์ประน้ำมนต์บ่นคาถา
|
| ชยันโตอวยชัยในนาวา | | จอดอยู่หน้าตำหนักแพแซ่สำเนียง
|
| พระวังหน้านั้นก็เสร็จเสด็จรับ | | ส่งกองทัพยืนร่าหน้าเฉลียง
|
| พร้อมเสนาขวาซ้ายยืนรายเรียง | | บ้างอยู่เคียงพระองค์ผู้ทรงนาม
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | | รองพระจอมจุลจักรหลักสยาม
|
| พระกายไทยใจทหารชาญสงคราม | | พระพักตร์งามสง่าชูสุรพงศ์
|
| พอกระบวนด่วนล่วงมาเลยลับ | | เรือกองทัพเซ็งแซ่แลระหง
|
| สังเกตลมพระพายพัดชายธง | | นิมิตมงคลดีเลิศประเสริฐครัน
|
| เรือเขยื้อนเตือนฝีพายทั้งซ้ายขวา | | พระสุริยาเบี่ยงบ่ายลงผายผัน
|
| พอเรือไฟพระสุนทราแล่นมาทัน | | เห็นตัวท่านยืนโยกแล้วโบกมือ
|
| นึกสงสัยจะเป็นใครที่ไหนหนอ | | แต่งตัวป๋อโบกมือผับบอกนับถือ
|
| สังเกตได้แต่ที่มีสี่นิ้วมือ | | นี้คงคือเจ้าคุณพระสุนทรา
|
| เพราะนิ้วมือท่านมีสี่นิ้วถ้วน | | นิ้วชี้ด้วนเด็ดชัดข้างหัตถ์ขวา
|
| คุมเรือไฟไล่แล่นตามเข้ามา | | ฝีพายคว้าเชือกผูกเรือแล่นเหลือใจ
|
| โยงเรือแม่ทัพกับเรือบุตร | | เรือไฟฉุดแล่นลิ่วใจหวิวไหว
|
| เรือนายทัพนายกองเนืองนองไป | | เรือกลไฟจูงมาในสาคร ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงวัดเขมาภิรตาราม | | ประทับตามฤกษ์กำหนดให้งดก่อน
|
| ด้วยกลางคืนโหรมิให้ครรไลจร | | ก็พอผ่อนแรมกระบวนอยู่ถ้วนกัน
|
| พอสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์ | | ลงเรือกลไฟเล็กเล็กทั้งนั้น
|
| ขนมาส่งกองทัพด้วยฉับพลัน | | มาถึงทันรอจักรหยุดพักคอย
|
| เสด็จลงสู่ยังที่นั่งเก๋ง | | ฝีพายเร่งตึงข้อไม่ท้อถอย
|
| พอจวนถึงรอรานาวาคอย | | เรือบ่ายคล้อยหันเรียงให้เอียงลำ
|
| เจ้าคุณน้อมบังคมก้มคำนับ | | สมเด็จรับยิ้มนิยมดูคมขำ
|
| พระทัยดีมีพระกรุณประจำ | | หยิบเปลป่านซองทองคำมาประทาน
|
| เจ้าคุณน้อมคำนับรับสิ่งของ | | สมเด็จพร้องอวยชัยทรงไขขาน
|
| แล้วเอื้อนอรรถตรัสเสร็จสำเร็จการ | | ไม่ช้านานกลับหลังคืนวังพลัน ฯ
|
|
|
| ๏ ฝ่ายข้างพวกกองทัพนั้นสับสน | | บ้างขึ้นบนบกกรายเที่ยวผายผัน
|
| บ้างหุงข้าวเผาปลาทูกินอยู่กัน | | บางคนหันเข้าใต้ร่มไม้นอน
|
| เจ้าคุณท่านอาศัยในศาลา | | ฉันรักษาอยู่ในเรืออิงเหนือหมอน
|
| คำนึงถึงขนิษฐาให้อาวรณ์ | | อุระร้อนรัญจวนหวนคะนึง
|
| ป่านฉะนี้แก้วพี่จะโหยหวน | | จะรัญจวนหรือว่าไม่อาลัยถึง
|
| แต่อกพี่อาวรณ์ดั่งศรตรึง | | นอนรำพึงถึงแม่ดวงพวงพะยอม
|
| แสนเสียดายสายสวาทอนาถจิต | | โอ้าม(?)เอ๋ยเคยชิดแนบถนอม
|
| ครั้นยิ่งคิดจิตตรมอารมณ์ตรอม | | ประหนึ่งจอมเขาทับลงกับกาย
|
| ซึ่งพี่มาจากนางแต่ร่างเปล่า | | หัวใจเฝ้าเคียงประโลมแม่โฉมฉาย
|
| คิดหนังหน่วงห่วงสวาทไม่คลาดคลาย | | โศกไม่วายเสื่อมเศร้าอกเราอา
|
| แสนอาวรณ์นอนเผลอละเมอม่อย | | พอเดือนคล้อยดาวเคลื่อนเลื่อนเวหา
|
| จวนแจ้งแสงศรีสุริยา | | ตื่นนิทราโหยไห้ฤทัยตรม
|
| เสร็จเสพโภชนากระยาหาร | | ทั้งคาวหวานกล้ำกลืนรสขื่นขม
|
| กินน้ำใสก็เหมือนกินน้ำดินตม | | ด้วยอารมณ์หวังรักหนักอุรัง ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นเช้าสองโมงครึ่งกึ่งนิมิต | | สำเร็จกิจเสร็จสมอารมณ์หวัง
|
| ฝีพายเตรียมนาวาประดาดัง | | จอดคอยฟังลั่นฆ้องตามองเมียง
|
| ครั้นเจ้าคุณลงเรือนั่งเหนือเบาะ | | ฝีพายเกาะโห่ขานประสานเสียง
|
| ตีฆ้องหุ่ยหึ่งพลันลั่นสำเนียง | | เรือพร้อมเพรียงออกตามหลั่นหลามมา
|
| คระโครมครึกกึกก้องท้องสมุทร | | พายรีบรุดเร็วนักดั่งปักษา
|
| คว้างคว้างมาในกลางชลธาร์ | | ดูนาวาเร็วรัดเทียมทัดลม
|
| ครั้นจะร่ำระยะทางชมบางบ้าน | | ก็ขี้คร้านหลีกจัดตัดประสม
|
| ด้วยนิราศอื่นมีดีอุดม | | ล้วนคารมวิเวกหวานเคยอ่านฟัง
|
| ครั้นเรือมาฉิวฉิวแลลิ่วลับ | | ฝีพายขับขบเขี้ยวไม่เหลียวหลัง
|
| ชลกระฉอกละลอกเสียงเพียงจะพัง | | กระทบฝั่งกระจายทำลายลง ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงเมืองประทุมธานีบุรีรัตน์ | | วายุพัดน้ำกระเด็นขึ้นเป็นผง
|
| พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดง | | เรือตัดตรงข้ามฟากพายบากมา
|
| รีบรัดมาจอดวัดประทุมทอง | | พินิจมองเห็นพระสงฆ์ทรงสิกขา
|
| ล้วนรามัญชยันโตโพธิยา | | ตามภาษาพระมอญอวยพรชัย
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | | มีจิตพร้อมศรัทธาอัชฌาสัย
|
| ก็ขึ้นจากเรือเดินดำเนินไป | | ตรงเข้าในศาลาหาสมภาร
|
| ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาท | | ทั้งอาวาสด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ
|
| น้อมจิตคิดตั้งปณิธาน | | เจ้าอธิการคำรพจบสัพพี
|
| ก็แรมทัพอยู่ที่นั่นพร้อมกันหมด | | พระสุริยงเยื้องรถอับฉวี
|
| ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์ | | เหล่าโยธีกองทัพบ้างหลับนอน
|
| ด้วยวัดนี้ไม่มีที่อาศัย | | เดินไปไหนน้ำท่าเปียกผ้าผ่อน
|
| วัดประทุมลุ่มเต็มทีไร้ที่ดอน | | คนต้องซ้อนแซกเสียดยัดเยียดกัน
|
| เหมือนตะรางสัสดีที่แคบคับ | | นอนไม่หลับเจียนชีวาแทบอาสัญ
|
| ตาบุน(?)ปราบแกขนาบเอาโซ่พัน | | เร่งรางวัลข้าทุเลาเอาเงินมา
|
| โอ้พุ่มพวงดวงจิตชีวิตพี่ | | ป่านฉะนี้สาวน้อยจะคอยหา
|
| จะโศกเศร้าว้าเหว่อยู่เอกา | | อนิจจาแสนสังเวชน้ำเนตรพราว
|
| โอ้อาลัยใจหายไม่วายโศก | | บังเกิดโรคร้างงามเมื่อยามหนาว
|
| โอ้ยามรักหนักจิตเหมือนติดกาว | | ไม่มีคราวลืมมิตรยลติดตา
|
| ยิ่งหวนหวนห่วงไห้ฤทัยโหย | | อุระโรยร่วงหรุบดั่งบุปผา
|
| เมื่อต้องแสงสุริยงส่องลงมา | | เกสรสาโรชร่วงเหมือนทรวงเรา
|
| หวนคะนึงถึงมิตรพิศวาส | | ใจจะขาดเสียเพราะทรวงงงง่วงเหงา
|
| กำเริบโรคโศกร้างไม่บางเบา | | ยุพเยาว์จะมิได้เห็นใจเรียม
|
| ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมตรึก | | ครั้นนึกนึกแล้วค่อยวายจิตอายเหนียม
|
| คงได้กลับยลโฉมประโลมเลียม | | ไม่ทันเตรียมอย่าเพ่อตรอมจะผอมตาย
|
| พอหลับผอยม่อยฟื้นตื่นสว่าง | | ลุกลูบล้างหน้าพลันไม่ทันสาย
|
| พออิ่มหนำสำเร็จเสร็จสบาย | | เหล่าฝีพายเตรียมตัวพร้อมทั่วกัน
|
| พอได้ฤกษ์แล้วก็บอกออกนาวา | | เสียงเฮฮาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
|
| ไม่เห็นใครมีทุกข์สนุกครัน | | จ้วงกระชั้นตึงข้อไม่รอรา
|
| เรือละลิ่วปลิวเฉื่อยมาเรื่อยรี่ | | ชมวิถีชลมารคข้างฟากขวา
|
| แล้วผันชมฟากซ้ายวายน้ำตา | | ครั้นนาวาแล่นล่วงครรไลเลย ฯ
|
|
|
| ๏ มาถึงเกาะบางปะอินทินกร | | กำลังร้อนแสงแดดนั้นแผดเผย
|
| เห็นรั้ววังข้างขวาสง่าเงย | | น่าชมเชยตึกตั้งเป็นวังเวียง
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่ง | | จอดหน้าวังขึ้นบูชาหน้าเฉลียง
|
| ท่าจุดธูปเทียนถวายอยู่รายเรียง | | นั่งประเนียงน้อมประนมบังคมคัล
|
| แล้วก็ออกนาวาจากหน้าวัง | | ดูคับคั่งด้วยพหลพลขันธ์
|
| ไม่เลี้ยวลัดถึงวัดชุมพลพลัน | | ก็เหหันเรือประทับกับตะพาน
|
| เจ้าคุณก็จำเนียรธูปเทียนจุด | | บูชาพุทธรูปใหญ่ในวิหาร
|
| ด้วยวัดชุมพลนี้มีมานาน | | แต่ก่อนกาลกรุงเก่ามีเค้าความ
|
| ด้วยเจ้าพระยากลาโหมเล้าโลมไพร่ | | ชุมนุมไว้วัดนี้ที่สนาม
|
| แล้วยกพลเกรียวกรูเข้าวู่วาม | | ทำสงครามกับกษัตริย์ขัตติยา
|
| จับเจ้าแผ่นดินได้ให้ประหาร | | ครั้นสมการมุ่งมาดปรารถนา
|
| ก็ได้ซึ่งสมบัติกษัตรา | | จึ่งราชาภิเษกเป็นเอกองค์
|
| ทรงนามท้าวพระเจ้าปราสาททอง | | ได้ครอบครองรั้ววังดั่งประสงค์
|
| มีพระราชศรัทธาปัญญายง | | เสด็จทรงสร้างวิหารริมชานชล
|
| เสร็จพระราชศรัทธาเป็นอาราม | | ประทานนามโดยวิเศษตามเหตุผล
|
| เดิมที่นี่ได้ประชุมชุมนุมคน | | ชื่อชุมพลนิกายาราม
|
| ครั้นกรุงเก่าย่อยยับอัปรา | | ซึ่งวัดวาพังลงเป็นดงหนาม
|
| โบสถ์พังโครมโทรมทรุดชำรุดตาม | | ได้แจ้งความเริ่มรู้แต่บูราณ
|
| ครั้นแผ่นดินพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | | มาสร้างรั้ววังนิวาสราชฐาน
|
| แล้วเลยทรงสถาปนาการ | | พระวิหารให้คงดำรงดี
|
| แล้วปั้นรูปจอมปราชญ์ปราสาททอง | | ดูเรืองรองงามงดสุกสดศรี
|
| ยืนอยู่หน้าอุโบสถปรากฏมี | | ทุกวันนี้คนผู้ยังบูชา
|
| ครั้นสำเร็จเสร็จนบเคารพพระ | | ก็เลยละผายผันจิตหรรษา
|
| เจ้าคุณให้ร้องบออกออกนาวา | | โห่สามลาบอกยาวเสียงกราวเกรียว
|
| เหล่าฝูงชนชาวบ้านละลานหนี | | บ้างหลบลี้วิ่งแต้ไม่แลเหลียว
|
| เรื่อไม่พายคลายคล่ำสักลำเดียว | | ปะก็เลี้ยวจอดซบหลบแต่ไกล
|
| ฝีพายไม่รอรามาตะบึง | | บรรลุถึงหน้าวัดโปรดสัตว์ใหญ่
|
| แวะเรือเรียงเคียงจอดตลอดไป | | เจ้าคุณให้จอดประทับกับตะพาน
|
| ท่านจุดธูปเทียนชูขึ้นบูชา | | น้อมศิราหน่วงมนัสหัตถ์ประสาน
|
| พวกไพร่พลเริงรื่นชื่นสำราญ | | ใจเบิกบานยินดีที่สบาย
|
| วักน้ำมนต์ใส่บนศีรษะทั่ว | | บ้างลูบตัวอาบกินสิ้นทั้งหลาย
|
| ที่โกงเขาย่ำแย่แต่ปีกลาย | | ให้ความหายลับลี้อย่าฎีกา
|
| รีบรัดมาถึงวักพะแนงเชิง | | พอร่าเริงคึกคักเป็นหนักหนา
|
| เจ้าคุณขึ้นบกพลันไปวันทา | | พระปฏิมาองค์ใหญ่ด้วยใจจง
|
| จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพระ | | คารวะขอความตามประสงค์
|
| ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตทรง | | สิงในองค์พระปฏิมากร
|
| จงพิทักษ์รักษาโยธาทัพ | | ที่คั่งคับพร้อมหน้ามาสลอน
|
| ซึ่งโพยภัยขออย่าเพียรมาเบียนบอน | | จงถาวรสวัสดิ์ทั่วทุกตัวคน
|
| เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ | | ผู้คนคับสองข้างหว่างถนน
|
| ท่านเจ้าคุณเมตตาประชาชน | | ที่ยากจนผู้ใหญ่เด็กเจ๊กคนโซ
|
| แจกเงินให้คนละเฟื้องนั่งเนื่องนับ | | คนที่รับไทยทานประมาณโข
|
| บางคนออกวาจาวราโร | | รัตพิโชชนะหมู่ศัตรูพาล
|
| เจ้าคุณลงนาวาเสร็จคลาเคลื่อน | | เรือเขยื้อนเป็นละลอกกระฉอกฉาน
|
| ละลิ่วมาในวนชลธาร | | บ่ายประมาณห้าโมงเศษสังเกตจำ ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงวังจันทรเกษมจิตเปรมปรา | | แวะนาวาพักผ่อนจอดช้อนสำ
|
| เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ | | เวลาค่ำแรมทัพต่างหลับนอน ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยาเวลาสาย | | เหล่าตัวนายคั่งคับสลับสลอน
|
| ล้วนแต่งตัวเต็มยศบทจร | | หมู่นิกรเกลื่อนกล่นต่างคนมา
|
| ชุมนุมที่ศาลาใหญ่หน้าวัง | | มาพร้อมพรั่งนั่งรายทั้งซ้ายขวา
|
| คอยเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชา | | ที่บรรดาตัวนายนั่งรายเรียง
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย | | เสร็จผันผายขึ้นมานั่งยังเฉลียง
|
| ลูกทัพคำนับน้อมอยู่พร้อมเพรียง | | คอยฟังเสียงท่านอยู่ดูชื่นบาน
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับโอษฐ์ | | ภิปรายโปรดทักทายนายทหาร
|
| แล้วชักชวนไปวัดมนัสการ | | พระวิหารเสนาสน์เยื้องยาตรา
|
| เข้าในวังขึ้นยังพระมนเทียร | | แล้วน้อมเศียรอภิวันท์ด้วยหรรษา
|
| จุดธูปเทียนทั้งคู่ขึ้นบูชา | | พระมหาที่นั่งในวังจันทร์
|
| ออกจากวังไปยังพระอาวาส | | นามเสนาสน์งามเลิศดูเฉิดฉัน
|
| ท่านเจ้าคุณคำนับอภิวันท์ | | ธูปเทียนนั้นจุดถวายธิบายความ
|
| ว่าวัดนี้ของพระยาทปราสาททอง | | เป็นเจ้าของสร้างไว้ในสยาม
|
| ครั้งแผ่นดินกรุงเก่าเป็นเค้าความ | | แจ้งเหตุตามโดยเรื่องครั้งเมืองกรุง
|
| เมื่อเมืองเสียแก่พม่าพากันขุด | | เอาไฟจุดลอกทองแล้วถลุง
|
| วัดสลักหักพังออกนังนุง | | แต่ครั้งกรุงร้างรามาช้านาน
|
| ครั้นแผ่นดินจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | | ศรัทธาทั่วบพิตรประดิษฐาน
|
| เสด็จมาบำรุงผดุงการ | | พระวิหารเสนาสน์สะอาดงาม
|
| เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ | | ขึ้นประทับบนศาลาหน้าสนาม
|
| ลูกทัพนายกองนั่งคอยฟังความ | | อยู่ออกหลามศาลาที่หน้าวัง
|
| บ้างร้องทุกข์ขอข้าวต่อเจ้าคุณ | | ว่าสิ้นทุนจวนจะอดข้าวหมดถัง
|
| ขอเบิกข้าวสารพอต่อกำลัง | | เจ้าคุณฟังข้อคำคิดรำคาญ
|
| จึงผินผันหันหน้าปรึกษาเรื่อง | | ด้วยว่าเมืองนี้ต้องเลิกเบิกข้าวสาร
|
| เพราะได้แจ้งกิจจาเวลาวาน | | กรมการเขาว่าตราไม่มี
|
| ท่านเจ้าคุณชักทุนซื้อข้าวสาร | | แจกทหารกล้วยไข่ให้อีกหวี
|
| ทั้งของคาวเนื้อเค็มก็เต็มดี | | แจกโยธีกองทัพรับทุกคน ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นว่าบ่ายชายแสงพระสุริเยศ | | สักโมงเศษเอะอะเตรียมพหล
|
| ต่างลงเรือทุกลำประจำพล | | บ้างเตรียมตนคอยฟังระวังตัว
|
| เจ้าคุณลงนาวาที่หน้าวัง | | พร้อมสะพรั่งฝีพายซ้ายขวาทั่ว
|
| นายน้อยจับตระบองลั่นฆ้องรัว | | ให้รู้ทั่วนัดบอกกันออกเรือ
|
| ฆ้องลั่นเสียงแซ่ซร้องก้องกังวาน | | โห่ประสานสามลาสง่าเหลือ
|
| ลูกทัพนายกองนั้นไม่ฟั่นเฟือ | | ล้วนสวมเสื้อเต็มยศหมดทุกนาย ฯ
|
|
|
| ๏ มาประเดี๋ยวเลี้ยวประทะศีรษะรอ | | ดูปราดปร๋อน้ำไหลเชี่ยวใจหาย
|
| ฝีพายขึงตึงข้อไม่รอพาย | | บ้างเสียท้ายเรือปะประทะแพ
|
| บางฉลาดเลี้ยวพันกระชั้นแหลม | | เรือไม่แพลมแพร่งพรายกระสายแส
|
| ที่ตรงศีรษะรอเสียงจอแจ | | ช่วยกันแก้หัวเรือน้ำเหลือทน
|
| เรือก็แล่นเฉื่อยฉิวมาลิ่วลับ | | แดดพยับมืดกลุ้มชอุ่มฝน
|
| ไม่แรงร้อนอ่อนสีสุริยน | | เหล่าไพร่พลค่อยสบายรีบพายพลัน ฯ
|
|
|
| ๏ พอถึงวัดทองใหญ่อยู่ในย่าน | | มีนามบ้านพระนอนพักผ่อนผัน
|
| เรือกองทัพคับคั่งประดังกัน | | แรมอยู่นั้นอีกคืนต่างรื่นเริง
|
| ในวัดทองซ่องซ่วมน้ำท่วมหมด | | น้ำไม่ลดกำลังล้นขึ้นจนเหลิง
|
| ไม่มีที่หุงข้าวก่อเตาเพลิง | | อาศัยเพิงโบสถ์ใหญ่พอได้การ
|
| พลนิกรต้องนอนอยู่ในเรือ | | คนที่เหลืออาศัยในวิหาร
|
| อีกศาลาใหญ่กว้างข้างตะพาน | | เหล่าทหารซ้อนซับขึ้นหลับนอน
|
| แต่ตัวฉันอยู่ในเรือเหลือเทวศ | | นองน้ำเนตรโหยไห้ฤทัยถอน
|
| เป็นทุกข์ถึงขนิษฐายิ่งอาวรณ์ | | เพราะพี่จรจากเจ้าจะเนานาน
|
| ไม่รู้ปีเดือนใดจะได้กลับ | | ด้วยไปทัพจับศึกที่ฮึกหาญ
|
| กว่าจะสิ้นสรรพเสร็จสำเร็จการ | | สุดประมาณเหลือเล่ห์คะเนวัน
|
| ครวญครวญหวนละห้อยพอผอยหลับ | | ชักหงับหงับกลับตื่นสุดกลืนกลั้น
|
| กำสรดแสนแหนหวงแม่ดวงจันทร์ | | โอ้กี่วันจะได้พบประสบนวล ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงทองส่องสว่าง | | ค่อยลูบล้างพักตราวิญญาหวน
|
| เจ้าคุณสั่งให้บอกออกกระบวน | | เวลาจวนจะรุ่งฟุ้งอัมพร
|
| พอนาวาคลาเคลื่อนเขยื้อนโยก | | ธงก็โบกริ้วริ้วปลิวสลอน
|
| นาวาเรื่อยเฉื่อยมาในสาคร | | ก็รีบร้อนเร็วมาไม่ราแรม
|
| ถึงน้ำวนวนปะประทะคุ้ง | | เรือหันพุ่งข้ามบากไปฟากแหลม
|
| ฝีพายจ้ำน้ำเป็นฟองทั้งสองแคม | | ไม่พรอมแพรมพร้อมพรั่งพายตั้งใจ ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงเมืองสระบุรีเรือรี่เรียบ | | เห็นทำเนียบรายเรียงเคียงไสว
|
| เขาปลูกตั้งหลังเด่นเห็นแต่ไกล | | พลไพร่ยินดีด้วยปรีดา
|
| ต่างมุ่งมาดพอถึงหาดพระยาทศ | | บ่ายกำหนดสี่โมงโปร่งเวหา
|
| พระสุริยงจวนจะลับพรรพตา | | แลนาวาจอดเรียบประเทียบเรียง
|
| ที่ศาลาท่าน้ำลำกระแส | | เรือนเป็นแพจอดชุมนุมบ้างทุ่มเถียง
|
| ชวนกันชิงเรือนที่มีระเบียง | | ขอนของเรียงเข้าไปวางต่างประจำ
|
| ต่างคนต่างก็ก็จองปองที่อยู่ | | ถึงก่อนดูเลือกได้เมื่อใกล้ค่ำ
|
| พอพักพิงอิงกายวายระกำ | | ไม่ต้องทำเรือนร้านป่วยการคน
|
| ที่ลางนายผายผันไม่ทันเพื่อน | | ไม่มีเรือนที่พำนักพักพหล
|
| หาไม้ไล่ทำหลังคาประสาจน | | พอบังฝนบังฟ้าเป็นท่าลม
|
| ท่านเจ้าคุณใจดีอารีเหลือ | | คิดแผ่เผื่อไพร่แท้แต่ประถม
|
| ทำเนียบปลูกไว้มีไม่นิยม | | ด้วยอารมณ์เอ็นดูหมู่นิกร
|
| ทำเนียบปลูกไว้ท่าสี่ห้าหลัง | | พร้อมหอนั่งหอเคียงเรียงสลอน
|
| สู้อยู่เรือบดเลยตามเคยนอน | | ด้วยอาวรณ์เมตตาประชาชน
|
| ถ้าแม้นขึ้นสู่อยู่ทำเนียบ | | ตรองการเรียบเรียงเห็นไม่เป็นผล
|
| จะไม่มีที่อาศัยแก้ไพร่พล | | ท่านสู้ทนอยู่ในเรือใจเหลือดี
|
| ครั้นพลบค่ำย่ำฆ้องพวกกองทัพ | | บ้างนอนหลับกรนอยู่เสียงฝู่ฝี่
|
| แต่ตัวฉันตรึกตรมระทมทวี | | โศกโศกีแสนสวาทไม่ขาดวาย
|
| แสนคะนึงถึงนวลหวนเทวศ | | จนดวงเนตรบวมแดงเป็นแสงสาย
|
| อยู่ในเรือกัญญาใหญ่ไม่สบาย | | คิดใจหายใจห่างในทรวงครวญ
|
| โอ้เจ้าดวงพวงพุ่มอุทุมพร | | เมื่อยามนอนแนบถนอมกลิ่นหอมหวน
|
| เวลาตรมชมชูเรณูนวล | | ยามรัญจวนก็วายหายกังวล
|
| ยิ่งนึกยิ่งตรึกตรมระทมทุกข์ | | จะต้องบุกเดินป่าไปหน้าฝน
|
| จะข้ามดงพงชัฎระมัดตน | | เหล่าฝูงชนคิดกลัวหนังหัวพอง
|
| ฤดูฝนความไข้มิได้หยอก | | ผู้ใหญ่บอกเศร้าจิตคิดสยอง
|
| ที่ในดงลึกล้ำล้วนน้ำนอง | | จะยกกองทัพไปกลัวไข้ดง
|
| ซึ่งปู่ย่าตาลุงครั้งกรุงเก่า | | ฟังเขาเล่าจำไว้ไม่ใหลหลง
|
| ฤดูฝนเป็นไม่ไปณรงค์ | | ทำการสงครามแต่ก่อนบ่ห่อนเป็น
|
| แต่เมื่อใดฝนแล้งแห้งสนิท | | จึงจะคิดยกทัพไปดับเข็ญ
|
| คิดขึ้นมาน้ำตาตกกระเด็น | | ไม่วางเว้นกลัวตายเสียดายตน
|
| โอ้กรรมเราเกิดมาเวลานี้ | | พอไพรีมาสู่ฤดูฝน
|
| นึกแค้นอ้ายพวกฮ่อทรชน | | จะฆ่าคนเสียด้วยไข้ใช้ปัญญา ฯ
|
|
|
| ๏ ฉันตรองตรึกนึกพลางพอจ่างแจ้ง | | สว่างแสงสุริเยเยี่ยมเวหา
|
| เป็นวันถือน้ำพิพัฒน์สัตยา | | เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย
|
| ก็พร้อมด้วยนายทัพกับนายกอง | | ลงเรือล่องน้ำมาเวลาสาย
|
| ล้วนแต่งตัวเต็มยศหมดทุกนาย | | ต่างผันผายล้นหลามตามเจ้าคุณ
|
| รีบรัดมาถึงวัดสมุหะ | | พร้อมด้วยพระหลวงยืนแลหมื่นขุน
|
| ทั้งหัวเมืองเป็นการวิ่งซานซุน | | คอยคำนับรับเจ้าคุณอยู่เรียงราย
|
| เรือเจ้าคุณแม่ทัพจอดกับท่า | | เยื้องยาตราพร้อมพรั่งคนทั้งหลาย
|
| ล้วนสวมเสื้อกำซาบดาบสะพาย | | ที่ตัวนายคอยสดับรับบัญชา
|
| ต่างคนเข้าไปในวิหาร | | ฟังโองการพร้อมกันด้วยหรรษา
|
| แล้วรับน้ำพระพิพัฒน์สัตยา | | ตามตำราบุราณสาบานตัว
|
| ท่านเจ้าพระยาแม่ทัพกลับทำเนียบ | | เรือประเทียบแก้ท้ายแล้วบ่ายหัว
|
| จอดประทับกับท่าเวลามัว | | แดดสลัวจวนค่ำอยู่รำไร
|
| เวลาค่ำย่ำฆ้องครั้นสองทุ่ม | | แตรก็รุมเป่าเสียงสำเนียงใส
|
| พวกทหารนั่งยามต้องตามไฟ | | เอาฟืนใส่เรียงรายเป็นหลายกอง
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพกำชับสั่ง | | ให้ประจุปืนประนังนั่งจดจ้อง
|
| เหล่าทหารหอกหลาวแลง้าวพลอง | | พวกกองตรวจถือฆ้องกระแตตี
|
| ด้วยเรายกโยธามาจากถิ่น | | ประมาทหมิ่นแล้วก็เห็นจะเป็นผี
|
| เผื่อพวกฮ่อต่อเข้ามาสระบุรี | | จะเสียทีย่อยยับทั้งทัพชัย ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นจวนแจ้งแสงสีตีสิบเอ็ด | | ออกอึงเอ็ดเป่าแตรเสียงแซ่ใส
|
| ทหารเป่าขลุ่ยนัวรัวกลองชัย | | ฟังเสียงไพเราะวังเวงด้วยเพลงแตร
|
| ครั้นรุ่งแสงสุริยาท้องฟ้าฟื้น | | เจ้าคุณขึ้นทำเนียบหน้าท่ากระแส
|
| สำหรับขุนนางใช้ต่างแพ | | อยู่ริมแม่น้ำวนชลธาร
|
| พวกนายกองนายทัพคำนับน้อม | | มาพรั่งพร้อมนั่งเรียงเคียงขนาน
|
| คอยสดับตรับฟังจะสั่งงาน | | จะมีการเหตุผลด้วยกลใด
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพขยับโอษฐ์ | | ภิปรายโปรดไต่ถามความสงสัย
|
| พวกเรามาพร้อมพรั่งหรืออย่างไร | | ใครป่วยไข้ที่บรรดามาด้วยกัน
|
| พวกนายทัพนายกองสนองเรียน | | น้อมจำเนียรแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์
|
| คนกองทัพวิบัติอัศจรรย์ | | เกิดปัจจุบันโรคร้ายเป็นหลายคน
|
| ท่านเจ้าคุณแจ้งความตามระบอบ | | จึงประกอบยาละลายกระสายฝน
|
| ตามตำราหมอด้วงแก่แก้อับจน | | ท่านสู้ทนนั่งปรุงบำรุงยา
|
| แล้วก็ให้อนุญาตประกาศสั่ง | | ว่าทีหลังใครป่วยไข้ให้มาหา
|
| เพราะใจท่านอารีมีเมตตา | | ตั้งรักษาเป็นธุระไม่ละเลย
|
| ถึงเที่ยงนางกลางคืนคนตื่นหลับ | | คนกองทัพป่วยไข้มิได้เฉย
|
| สั่งให้ปลุกทุกครั้งเหมือนดังเคย | | ไม่เสบยบอกเราเอาอาการ
|
| ด้วยลงทุนสำรองยากว่าสองชั่ง | | ยาฝรั่งมากมายหลายขนาน
|
| ด้วยจงหวังตั้งใจจะให้ทาน | | คิดเตรียมการถ้าใครป่วยได้อวยเออ
|
| แล้วสั่งการขุนชำนาญภักดีพุก | | เที่ยวตรวจทุกเวลาอย่าได้เผลอ
|
| ใครเป็นโรคร้อนหนาวหรือหาวเรือ | | ให้ดอกเตอร์พุกปรุงบำรุงยา
|
| ตั้งแต่นั้นท่านก็นั่งคอยฟังทั่ว | | ใครยังชั่วใครจะหนักที่รักษา
|
| นายพุกเที่ยวทุกหมวดคอยตรวจตรา | | ตามบัญชามิได้เว้นเช้าเย็นดู
|
| คนมากหายตายน้อยนับตัวถ้วน | | นายพุกสวนสอบตรวจทุกหมวดหมู่
|
| พวกกองทัพหายฟื้นต่างชื่นชู | | ล้วนแต่รู้จักบุญคุณทุกคน
|
| เมื่อหยุดพักอยู่ที่ท่าพระยาทศ | | ต้องรองดช้าอยู่ฤดูฝน
|
| ครั้นจะยกทัพไปกลัวไพร่พล | | จะปี้ป่นเสียเพราะไข้ที่ในดง
|
| เจ้าคุณสืบสวนกะระยะทาง | | พระยากลางพระยาไฟไพรระหง
|
| ให้รู้ที่สำคัญโดยมั่นคง | | ด้วยจิตจงอยากยกขึ้นบกไป
|
| ให้พระรัตนกาศประภาษถาม | | ก็แจ้งความมั่นคงไม่สงสัย
|
| เขาว่ามรคาพระยาไฟ | | จะคลาไคลเหลือล้ำด้วยน้ำนอง
|
| ทั้งเป็นโคลนเป็นหล่มตมตลอด | | จะมุดลอดหลีกลัดก็ขัดข้อง
|
| ต้องเดินข้ามแม่น้ำลำธารคลอง | | ข้ามเป็นสองสามหนล้วนชลลึก
|
| ท่านเจ้าคุณแจ้งเหตุสังเวชไพร่ | | ด้วยจะไปรบรากับข้าศึก
|
| จะมาตายเสียในดงที่พงพฤกษ์ | | อนาถนึกเศร้าใจด้วยไพร่พล
|
| จึงแต่งบอกกราบทูลตามมูลเหตุ | | เป็นไปรเวทเรียงความตามนุสนธิ์
|
| ขอรอรั้งตั้งพักพำนักพล | | แต่พอฝนฟ้าแล้งทางแห้งดี
|
| หนังสือเสร็จแล้วก็ส่งลงบางกอก | | ผู้ถือบอกหมายมุ่งไปกรุงศรี
|
| ข้างกองทัพยับยั้งฟังคดี | | พร้อมอยู่ที่พระยาทศหมดด้วยกัน
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพบังคับการ | | ซ้อมทหารกระบวนรบให้ขบขัน
|
| ได้ฝึกสอนเช้าเย็นไม่เว้นวัน | | ตั้งแต่นั้นเป็นคนสุขสนุกจริง
|
| พวงหนุ่มหนุ่มกลุ้มเกรียวไปเที่ยวเล่น | | ล้วนแต่เป็นเจ้าชู้เกี้ยวผู้หญิง
|
| บ้างโกรธขึ้งหึงหวงเที่ยวช่วงชิง | | แล้วค้อนติงพูดกระแทกที่แดกดัน
|
| ด้วยลูกสาวลาวชุมหนุ่มหนุ่มเกี้ยว | | บ้างก็เที่ยวหาอวดประกวดประขัน
|
| บ้างสู่ขอเป็นเมียได้เสียกัน | | แต่ตัวฉันไม่อยากเที่ยวไปเกี้ยวใคร
|
| ด้วยคิดถึงเนื้อคู่อยู่ที่บ้าน | | จึงขี้คร้านยาตรย่างไปข้างไหน
|
| ถึงเห็นสาวสวยสดสู้อดใจ | | เพื่อนเขาไปตัวเราอยู่เฝ้าเรือ
|
| วันหนึ่งนางแม่ค้าเรือมาขาย | | เฝ้ามาดหมายรักฉันจิตฟั่นเฝือ
|
| อุตส่าห์หาเปรี้ยวหวานมาจานเจือ | | ประหลาดเหลือแล้วเราเขาเอาจริง
|
| ฉันขี้คร้านผูกรักคิดจักเบือน | | เหล่าพวกเพื่อนเย้ยยั่วว่ากลัวหญิง
|
| ควรจะหาที่พักสำนักพิง | | คิดแอบอิงแต่พออุ่นถุนขี้ยา ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นเดือนสิบเอ็ดเสร็จความขึ้นสามค่ำ | | ได้จดจำจงหวังไม่กังขา
|
| บ่ายสามโมงสังเกตเศษเวลา | | เรือไฟมาเปิดหลอดเสียงหวอดดัง
|
| เห็นเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ | | จำถนัดเรือห่างอยู่ข้างฝั่ง
|
| ลงเรือแหวดแจวร่าเข้ามายัง | | ถึงกระทั่งท่าทำเนียบจอดเทียบพลัน
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพออกรับรอง | | ต่างยิ้มย่องปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
|
| ขึ้นบนทำเนียบท่าพูดจากัน | | แต่โดยฉันราชการในสารตรา
|
| ท่านเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ | | ก็หยิบลายราชหัตถเลขา
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็รับมา | | จิตปรีดาเบิกบานสำราญใจ
|
| ท่านเจ้าคุณรับรองของประทาน | | ที่เจ้าคุณทหารนำมาให้
|
| ดาบฝรั่งสองร้อยเล่มที่เต็มใน | | หีบใหญ่ใหญ่รับขนขึ้นบนเรือ
|
| อีกกับน้ำมันหอมพระจอมเกล้า | | ทรงเสกเป่าไว้เลิศประเสริฐเหลือ
|
| ดอกไม้ร้อยแปดอย่างไม่จางเจือ | | กลั่นเอาเหงื่อทำน้ำมันด้วยบรรจง
|
| ไว้บำเรอลูกเธอเสด็จทัพ | | เป็นที่นับถือความตามประสงค์
|
| ได้ป้องกันสรรพภัยที่ในดง | | ออกณรงค์ไม่ต้องคิดมีจิตกลัว
|
| ด้วยเจ้าคุณมีชื่อลือทุกเวียง | | เป็นบุตรเลี้ยงพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
|
| จึงประทานน้ำมันมากันตัว | | ครั้นอ่านทั่วราชหัตถ์จัดจำเนียร ฯ
|
|
|
| ๏ ลุวันเดือนสิบเอ็ดขึ้นแปดค่ำ | | ได้จดจำแน่จิตประดิษฐ์เขียน
|
| เรีบยเรียงเรื่องเบื้องต้นไม่วนเวียน | | พระยาเกียรติ์นั้นจึงมาถึงพลัน
|
| เชิญท้องตราขึ้นมาหนึ่งฉบับ | | เจ้าคุณรับตามควรไม่ผวนผัน
|
| พระยาเกียรติ์ก็กลับไปฉับพลัน | | ยังหาทันที่จะถามเนื้อความใด
|
| จึงประชุมลูกทัพกับหลานกอง | | ฟังอ่านท้องตราแจ้งแถลงไข
|
| มีบังคับรีบให้ยกขึ้นบกไป | | แจ้งอยู่ในสารตราที่มาวาง
|
| ถ้าให้ไปตรวจเสบียงให้เพียงพอ | | กับอีกข้อหนึ่งให้ปรุงปลูกยุ้งฉาง
|
| ให้ถ้วนทุกจังหวะระยะทาง | | กับเร่งส่วยด้วยที่ค้างอยู่นมนาน
|
| แม้นเงินไม่มีสำรองให้กองทัพ | | ที่จะจับจ่ายเสบียงเลี้ยงทหาร
|
| เร่งส่วยเสียที่ท้าวเพี้ยกรมการ | | มาเจือจานสำหรับกองทัพชัย
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพสดับตรา | | บังคับมามั่นคงไม่สงสัย
|
| จึงโต้ตอบท้องตราปัญญาไว | | ซึ่งจะไปเร่งส่วยเห็นป่วนการ
|
| แล้วจะให้ปลูกปรุงซึ่งยุ้งไว้ | | กับจัดให้ซื้อเสบียงเลี้ยงทหาร
|
| ด้วยจะยกนิกรไปรอนราญ | | จะละลานหน้าหลังเป็นกังวล
|
| ซึ่งจะให้ยกทัพไปสรรพเสร็จ | | แต่ในเดือนสิบเอ็ดฤดูฝน
|
| เป็นที่ลำบากใจแก่ไพร่พล | | น้ำยังล้นลงไม่ลดของดที
|
| ครั้นเสร็จสรรพพับผนึกจารึกหลัง | | ส่งไปยังบางกอกบอกวิถี
|
| แรมทัพคอยท้องตราหลายราตรี | | บ่ห่อนมีเภทภัยสิ่งใดพาล
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพพูดปรับทุกข์ | | ซึ่งจะบุกไปในป่าน่าสงสาร
|
| กลัวผู้คนทั้งหลายจะวายปราณ | | จึงคิดอ่านหาช่องสู่ท้องตรา
|
| ถึงจะมีโทษร้ายกฎหมายทัพ | | จะสู้รับเอาผู้เดียวจริงเจียวหนา
|
| ที่ข้อขัดบังคับรับอาญา | | ถึงจะฆ่าถือมั่นกตัญญู
|
| ขออย่าให้ไพร่พลไปป่นปี้ | | เวลานี้ขืนจรต้องอ่อนหู
|
| จะรับบาปคนทั้งเพเหมือนเยซู | | มิให้หมู่ไข้ป่ามันฆ่าคน
|
| มิใช่จะคร้านคลาดราชการ | | เพราะสงสารโยธาด้วยหน้าฝน
|
| จะพากันไปตายทำลายชนม์ | | แล้วเมืองบนก็ไม่มีไพรีรอน
|
| แม้นข้าศึกนับแสนตีแดนร่วม | | ถึงน้ำท่วมให้ตลอดยอดสิงขร
|
| จะสู้ยกพหลพลนิกร | | ถึงไฟร้อนต้านหน้าจะกล้าไป ฯ
|
|
|
| ๏ เดือนสิบเอ็ดขึ้นสามค่ำตามเหตุ | | บ่ายสักสามโมงเศษไม่สงสัย
|
| พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาใน | | เรือกลไฟถึงท่าพระยาทศ
|
| บังเอิญเทวดาวลาหก | | ก็เร่งตกลงมาให้ปรากฏ
|
| ฝนก็ไม่หายเหือดไม่เงือดงด | | ไม่หยาดหยดซู่ซ่าลงมาพอ
|
| ท่านเจ้าคุณไปคำนับรับสมเด็จ | | ฝนสาดไม่ขาดเม็ดลงสอสอ
|
| ต้องกางกั้นร่มไปมิได้รอ | | ลงนั่งย่อเรือพายม้ารีบคลาไคล
|
| ครั้นถึงเรือสมเด็จจอดเสร็จสรรพ | | น้อมคำนับกราบก้มประนมไหว้
|
| แล้วเรียนเรื่องทางบกจะยกไป | | ในดงใหญ่น้ำมากลำบากคน
|
| ขอรั้งรอพอให้แห้งแล้งสักหน่อย | | จึงจะค่อยยกไปในไพรสณฑ์
|
| ถ้าขืนยกเวลานี้เห็นรี้พล | | จะปี้ป่นตายลงในดงดาน
|
| ท่านเจ้าคุณจำเนียนกราบเรียนเสร็จ | | ฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยาฟังว่าขาน
|
| จึงมีพระประศาสน์ประกาศการ | | ให้คิดอ่านรีบยกขึ้นบกไป
|
| เจ้าคุณรับโอวาทประศาสน์สั่ง | | โดยข้อบังคับแจ้งแถลงไข
|
| จะให้ยกโยธารีบคลาไคล | | รอพอได้ทำบุญเสร็จสักเจ็ดวัน
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพกลับทำเนียบ | | ฝนไม่เรียบตกตวดเป็นกวดขัน
|
| พอพลบค่ำย่ำแสงพระสุริยัน | | มีกำปั่นไฟถึงอีกหนึ่งลำ
|
| ด้วยท่านหลวงยุทธยานาธิกร | | ท่านด่วนจรก็เห็นสมดูคมขำ
|
| เชิญท้องตรามากำลังฝนตกพรำ | | ขึ้นบนทำเนียบท่าชลาธาร
|
| ส่งท้องตราให้แก่ท่านแม่ทัพ | | อีกทั้งกับเงินจำแนกแจกทหาร
|
| ทั้งเงินห้าสิบชั่งสั่งประทาน | | เป็นเงินงานเตรียมทัพสำหรับไป
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็รับรอง | | แล้วอ่านท้องตราแจ้งแถลงไข
|
| มีบังคับจะยกขึ้นบกไป | | แต่โดยในเดือนสิบเอ็ดจงเสร็จพลัน
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ้ง | | ตอบแถลงตามกระบนไม่ผวนผัน
|
| ด้วยโคต่างช้างมามาไม่ทัน | | การติดตันเหลือเขยื้อนเคลื่อนนิกาย
|
| แม้โคต่างช้างมาพร้อมมาถึง | | เป็นแน่หนึ่งวันนั้นได้ผันผาย
|
| พอได้พาหนะทั่วเหล่าตัวนาย | | จะถวายบังคมลาฝ่าละออง
|
| ครั้ยเสร็จสรรพพับผนึกจารึกบอก | | ส่งบางกอกแจ้งความตามสนอง
|
| หลวงยุทธยาคำนับแล้วรับรอง | | หนังสือสองสามฉบับแล้วกลับลา ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นขึ้นสิบสี่ค่ำเดือนสิบเอ็ด | | ได้จำเสร็จโดยหวังไม่กังขา
|
| น้ำท่วมถึงกระทั่งเลยหลังคา | | นึกก็น่าอัศจรรย์ขันกระไร
|
| เรือต้องขึ้นจอดบกเจียวอกเอ๋ย | | มิได้เคยพบเห็นเป็นไฉน
|
| นึ้ขึ้นถึงขนาดประหลาดใจ | | แม้นผู้ใดบอกคงจะสงกา
|
| นี่ได้เห็นต่อพักตร์แก่จักขุ | | เจอแลจุปากทักน้ำหนักหนา
|
| ขึ้นคืนเดียวเจียวร่วมท่วมหลังคา | | เป็นน้ำป่าเช่นผู้เฒ่าเขาเล่ากัน ฯ
|
|
|
| ๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จวัสสาสิบห้าค่ำ | | เจ้าคุณทำบุญใหญ่ใจกระสัน
|
| สนองคุณบพิตรนิจนิรันดร์ | | ด้วยเป็นวันพระจอมเกล้าฯเข้านิพพาน
|
| นิมนต์สงฆ์พร้อมเพรียงประเดียงฉัน | | ในวันนั้นล้วนเป็นสุขสนุกสนาน
|
| มีมหาชาติใหญ่แล้วให้ทาน | | มโหฬารสรวลเสเสียงเฮฮา
|
| ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสุริย์ใส | | จุดดอกไม้ส่องสว่างกลางเวหา
|
| แสงดอกไม้กระจ่างสำอางตา | | จับนวลหน้านางลาวขาวเป็นใย
|
| ครั้นเทศน์ครบจบตามสิบสามกัณฑ์ | | ตั้งแต่นั้นน้ำลดค่อยงดหาย
|
| ซึ่งกองทัพเปป็นสุขสนุกสบาย | | พอหาดทรายผุดพ้นชลธาร
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพหยุดยับยั้ง | | ท่านก็ตั้งซ้อมศึกฝึกทหาร
|
| ล้วนเข้าใจไวว่องคล่องชำนาญ | | ท่านเห็นการน้ำลดเงือดงดลง
|
| จึงแต่งจัดขุนสัจจวาที | | สืบวิถีแน่กำหนดลงจดหมาย
|
| เสร็จสรรพกลับสนองทั้งสองนาย | | กราบเรียนรายระยะทางในกลางดง
|
| ก็พอจะไปได้ไม่สู้ยาก | | ที่ลำบากน้ำเผื่อยังเหลือหลง
|
| เป็นหล่มลึกตลอดไปในไพรพง | | ก็น้อยลงกว่าแต่ก่อนเป็นดอนไป
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ้ง | | ว่าทางแห้งไม่สู้ยากลำบากไพร่
|
| คิดจะยกซึ่งพหลพลไกร | | แต่ยังไม่มีช้างโคต่างจร
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพเฝ้าปรับทุกข์ | | ไม่มีสุขเศร้าในฤทัยถอน
|
| เที่ยวหาจ้างช้างอำมาตย์ราษฎร | | ก็บ่ห่อนสมคิดจิตรำพึง
|
| พอวันหนึ่งมีผู้ถือหนังสือกระดาษ | | ของพระยาราชเสนาลงมาถึง
|
| ยังเจ้าคุณแม่ทัพคำนับคำนึง | | เจ้าคุณจึงอ่านได้มีใจความ
|
| ใบบอกว่าพระยามหาอำมาตย์ | | กับเจ้าเมืองโคราชเรืองสนาม
|
| เข้ารบอ้ายฮ่อนั้นวัดจันงาม | | พอสงครามฮ่อแหกแตกกระจาย
|
| กองทัพไทยได้ทีตีกระทบ | | พวกฮ่อรบแหกหันหนีผันผาย
|
| พวกกองทัพจับได้ทั้งไพร่นาย | | ที่เหลือตายหลบหลีกตั้งปีกกา
|
| ฮ่อยกพลขึ้นบนหลังคาโบสถ์ | | ปืนลูกโดดยิงไทยด้วยใจกล้า
|
| พวกอ้ายฮ่อดีนักแผลงศักดา | | บนหลังคาโบสถ์ยืนยิงปืนกัน
|
| พระสุริยนสนธยาวลาหก | | เพอิญตกยิ่งยวดเป็นกวดขัน
|
| พวกอ้ายฮ่อก็กระโดดจากโบสถ์พลัน | | เข้าฝ่าฟันหนีไปได้ทั้งมวล
|
| แต่พระยามหาอำมาตย์นั้น | | ได้จัดสรรคนลอบไปสอบสวน
|
| สกัดจับทัพฮ่อที่ก่อกวน | | หลายกระบวนตามกระชั้นไปพันพัว
|
| เสมียนอ่านบอกเสร็จสำเร็จจบ | | เจ้าคุณตบมือสรวลสำรวลหัว
|
| พวกอ้ายฮ่อเสียกระบวนมันจวนตัว | | ด้วยความกลัวหนีโดดจากโบสถ์ไป
|
| คนล้อมถึงสามพันกระชั้นชิด | | อ้ายฮ่อมันมีฤทธิ์จึงหนีได้
|
| พวกเราไม่ต้องยกขึ้นบกไป | | ด้วยสิ้นไส้ศึกเสร็จสำเร็จการ
|
| ซึ่งตัวฉันได้ฟังแล้วนั่งยิ้ม | | ใจเอิบอิ่มปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
|
| นึกเดาเอาว่าสำเร็จศึกเสร็จการ | | ได้กลับบ้านแล้วพวกเราอย่าเศร้าใจ
|
| คอยฟังกล่าวซึ่งท้องตราให้หากลับ | | ก็ลึกลับเหลือล้นพ้นวิสัย
|
| ยิ่งนับวันก็ยิ่งหายกลับกลายไป | | ประหลาดใจเหลือล้ำนั่งคำนึง
|
| อนึ่งชั่วตัวฉันลืมวันคืน | | เมื่อจมื่นทิพเสนาลงมาถึง
|
| คุมฮ่อมาที่ทำเนียบไม่เงียบอึง | | คนทะลึ่งอยากเห็นฮ่อวิ่งสอมา
|
| ฮ่อสองคนใหญ่เล็กเจ๊กแท้แท้ | | ช่างเรียกแห้ฮ่อฟังน่ากังขา
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชา | | เสมียนมาถามฮ่อเขียนข้อคำ
|
| จีนคนเล็กคนใหญ่มันให้การ | | ดูเพ่นพ่านฟั่นเฟือนเลื่อนถลำ
|
| เห็นผันแปรแชเชือนเป็นเงื่อนงำ | | มิได้จำจดไว้ไม่เป็นการ
|
| ทิพเสนาก็พาจีนฮ่อกลับ | | เจ้าคุณแม่ทัพเกษมศานต์
|
| แรมทัพอยู่ที่ท่าเป็นช้านาน | | ทำบุญทานด้วยมนัสมีศรัทธา
|
| ได้ซ่อมแซมกุฏิพระวิหาร | | ทำไม้กรานค้ำโพธิ์โตสาขา
|
| เอาเงินแจกคนชแรแก่ชรา | | ทอดผ้าป่าโดยนิยมพอสมควร
|
| พอโคต่างช้างมาลงมาถึง | | เจ้าคุณจึงให้คนลอบไปสอบสวน
|
| ให้ได้เห็นจึงรู้ดูจำนวน | | จงถี่ถ้วนช้างตั้งเป็นพังพลาย
|
| ช้างเบ็ดเสร็จร้อยเจ็ดสิบช้างกว่า | | โคต่างห้าร้อยถ้วนจำนวนหมาย
|
| ท่านเจ้าคุณยินดีเป็นที่สบาย | | พร้อมทั้งนายทัพนายกองปรองดองกัน
|
| กำหนดที่จะยกขึ้นบกเดิน | | บอกแต่เนิ่นเตรียมพหลพลขันธ์
|
| เดือนสิบสองขึ้นสองค่ำเป็นสำคัญ | | จะผายผันไปตำแหน่งท่าแก่งคอย
|
| พลกองทัพรู้ทั่วเตรียมตัวท่า | | บ้างทำม้าสานตะกร้อไม่ท้อถอย
|
| ตระเตรียมเป็นธุระไม่ตะบอย | | ไม่อ้อยสร้อยสานกระทอพอตะพาย
|
| พวกลาวชาวบ้านพระยาทศ | | รู้กำหนดว่าจะไปแล้วใจหาย
|
| ท่านผู้เฒ่าเฝ้าละเหี่ยแสนเสียดาย | | กองทัพอยู่ค่อยคลายพวกคนพาล
|
| ไม่อยากให้กองทัพไปลับลี้ | | ตั้งอยู่ที่แสนเป็นสุขสนุกสนาน
|
| ทั้งข้าวของไม่หายวายรำคาญ | | พวกชาวบ้านหม่นหมองนองน้ำตา
|
| กองทัพมาครั้งนี้เป็นที่ยิ่ง | | ดีจริงจริงปกปักคุ้มรักษา
|
| ค่อยว่างเข็ญเย็นเกล้าเหล่าประชา | | บ้างโศกาไห้ร่ำโศกรำพึง ฯ
|
|
|
| ๏ ณ วันคืนปีเดือนจำเคลื่อนคลาด | | เจ้าคุณราชวราขึ้นมาถึง
|
| ขึ้นทำเนียบท่าน้ำดั่งคำนึง | | แล้วเชิญซึ่งท้องตราขึ้นมาพลัน
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับหนังสือ | | มาจากมือเจ้าคุณราชแล้วผาดผัน
|
| มายังที่ชุมนุมประชุมพลัน | | พร้อมพรักกันทั้งลูกทัพคอยรับรอง
|
| แล้วจึงอ่านสารตรามาบังคับ | | ให้กองทัพยกเคลื่อนเดือนสิบสอง
|
| จะตอบโต้เบือนบิดผิดทำนอง | | จงเคลื่อนกองทัพยกขึ้นบกไป
|
| ท่านเจ้าคุณแจ้งความตามบังคับ | | จึงพูดกับเจ้าคุณราชไม่หวาดไหว
|
| โคต่างช้างมีมาจะว่าไร | | อยากจะใคร่กรีพลพหลจร
|
| บัดนี้ช้างโคต่างมาถึงหมด | | ได้กำหนดไว้แล้วแต่ก่อน
|
| จะยกซึ่งพหลพลนิกร | | ใช่จะนอนเนิ่นใจเมื่อไรมี
|
| แล้วแต่งตอบข้อความตามที่กล่าว | | เป็นเรื่องราวน้อมประณตบทศรี
|
| ขอถวายบังคมลาฝ่าชุลี | | สิ้นวาทีห่อพับประทับตรา
|
| แล้วส่งลงบางกอกบอกนุสนธิ์ | | ตามเหตุผลข้อศึกที่ปรึกษา
|
| ครั้นรุ่งแจ้งแสงศรีสุริยา | | เห็นกำปั่นไปมาถึงท่าพลัน
|
| เห็นฝรั่งนั่งร่ามาหน้าเรือ | | ประหลาดเหลือมาไยผิดใจฉัน
|
| พอเห็นหมวกกะระเซ็นเป็นสำคัญ | | ชาวอเมริกันเขาขึ้นมา
|
| ถึงเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | | กับของพร้อมสารพัดเขาจัดหา
|
| เล่าแถลงแจ้งจิตตามกิจจา | | ตามบรรดาคนนอกเขาออกทุน
|
| ฝรั่งพร้อมกันเสียเงินเรี่ยไร | | ทั้งคนใหญ่คนน้อยพลอยอุดหนุน
|
| ทั้งนายห้างกัปตันท่านกงซุล | | เขาทำบุญสู้เสียเงินเรี่ยไร
|
| ได้จัดซื้อผ้าห่มขนมปัง | | กับอีกทั้งหยูกยารักษาไข้
|
| ยาโกรกกรากใบตองสำรองไป | | ทั้งขีดไฟชาหีบรีบเอามา
|
| จะมอบของสิ่งนี้ให้ใครบำเรอ | | มอบดอกเตอร์ดูพิทักษ์ได้รักษา
|
| คนกองทัพจับไข้ได้พยา- | | บาลบรรดาคนไข้ของให้ทาน
|
| พวกดอกเตอร์เขาก็พากันมารับ | | ของสำหรับที่จำแนกแจกทหาร
|
| ช่วยกันขนล้นหลามถ้วยชามจาน | | ทั้งนำตาลทรายกระสอบรับมอบมา
|
| ครั้นจวนวันจวนเดือนจะเคลื่อนคลาด | | ไปจากหาดพระยาทศกำสรดหา
|
| ซึ่งตัวฉันนี้ไม่วายฟายน้ำตา | | จะจากท่าหาดเหินเดินอรัญ
|
| ครั้นนาฬิกาได้ที่ตีสิบเอ็ด | | คนพร้อมเสร็จเตรียมกายจะผายผัน
|
| ขนของลงนาวาไม่ช้าพลัน | | บ้างชวนกันกินข้าวเช้าจะไป
|
| เหล่าลูกทัพหลานกองพร้อมนองเนือง | | ล้วนแต่งเครื่องเต็มยศแสนสดใส
|
| ดูงดงามตามตำแหน่งแกร่งเกรียงไกร | | ต่างคนไปจอดลอยคอยเจ้าคุณ
|
| ฉันนั่งที่หน้าแคร่เหมือนแต่ก่อน | | อุระร้อนราวจะโลดกระโดดหมุน
|
| พอรุ่งแจ้งแจ่มฟ้าเรื่ออรุณ | | ได้สกุณฤกษ์เบิกกระบวน
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับย่าง | | งามสำอางเฉิดฉินดังอินศวร
|
| เสร็จลงนาวาเวลาควร | | เรือก็หวนเหห่างออกกลางชล
|
| ฆ้องชัยลั่นสำเนียงเสียงประสาน | | ฝีพายขานยาวรับอยู่สับสน
|
| พระสงฆ์เป็นธุระประน้ำมนต์ | | แล้วร่ำบ่นชยันโตโมทนา
|
| เหล่าพวกสาวชาวบ้านละลานจิต | | บ้างที่คิดถึงบุญคุณนักหนา
|
| เดินตามส่งกองทัพจนลับตา | | บ้างโศกาโหยไห้อาลัยแล
|
| ฝีพายขึงตึงไหล่ใส่สวบสวบ | | เรือยวบยวบมาในวนชลกระแส
|
| ตัวฉันเฝ้าเพิ่มพูนอาดูรแด | | ทรวงตั้งแต่โศกข้อนอาวรณ์มา
|
| เรือรี่เรื่อยเฉื่อยฉิวละลิ่วฉุย | | ฝีพายพุ้ยจ้ำหน่วงจ้างถลา
|
| ถึงที่แก่งน้ำนูนไหลพูนมา | | ดังฉ่าฉ่าฉานฉานเสียงชาญชล
|
| น้ำพุ่งไหลโพนช่างโชนเชี่ยว | | ฝีพายเหนี่ยวหันรับอยู่สับสน
|
| ต้องขึ้นแก่งแรงร้ายหลายตำบล | | ประจวบจนแก่งคอยบ่ายคล้อยโมง
|
| น้ำเฉื่อยฉิวลิ่วเหลือพอเรือลอย | | ไพร่พลคอยถ่อค้ำหักต้ำโผง
|
| ฝีพายผ่อนอ่อนใจต้องใช้โยง | | ค่อยชะโลงหน่วงเหนี่ยวเต็มเรี่ยวแรง
|
| ช่วยกันรั้งช่วยกันลากกระชากฉุด | | พอเรือหลุดล่วงพ้นตำบลแก่ง
|
| ถึงทำเนียบที่สร้างไว้กลางแปลง | | เขาตกแต่งคอยรับกองทัพชัย
|
| เรือเจ้าคุณจอดประทับกับตะพาน | | พอทหารยืนเรียงเคียงไสว
|
| พอเจ้าคุณย่างยกขึ้นบกไป | | กัปตันใหญ่บอกเป็นปรีเซนต์นำ
|
| ทหารแถวยึกปืนขึ้นคำนับ | | ไม่สับปลับดังว่าเลขาขำ
|
| แล้วบอกให้ยกปืนยืนประจำ | | เขาช่างทำเจนจัดหัดชำนาญ
|
| ก็แรมทัพยับยั้งอยู่ที่นั่น | | ครั้น ณ วันแรมสามค่ำได้ทำศาล
|
| บวงสรวงเทวดาเจ้าท่าธาร | | ให้ภิบาลกองทัพจงรับรอง
|
| แล้วเจ้าพระยาแม่ทัพบังคับสั่ง | | จัดแต่งตั้งลูกทัพบังคับต้อง
|
| ตามกระบวนทัพชัยในทำนอง | | ปันหมวดกองด้วยจะยกขึ้นบกเดิน
|
| พระอภัยสงครามใจห่ามฮึก | | เคยทำศึกรบรุกถึงฉุกเฉิน
|
| ให้เป็นนายทัพหน้าปัญญาเดิน | | คงไม่เยินย่อยยับอัปรา
|
| ซึ่งพระไตรภพรณฤทธิ์ความคิดหลาย | | เป็นปักซ้ายสำหรับกองทัพหน้า
|
| พระอภัยพลรบจบศักดา | | เป็นปีกขวาเมื่อจะยกขึ้นบกไป
|
| พระมนตรีบวรซ้อนประดัง | | เป็นกองหลังทัพหน้าอัชฌาสัย
|
| รวมจำนวนบาญชีที่มีไป | | ล้วนคนในเกณฑ์ตั้งวังบวร
|
| พระยาชิตณรงค์เคยสงคราม | | ไม่ครั่นคร้ามห้าวหาญชาญสมร
|
| เป็นทัพขันธ์เยื้องซ้ายนายนิกร | | ไม่ย่อหย่อนไพรีมีศักดา
|
| พระยาพิชัยชาญฤทธิ์ไม่คิดพรั่น | | เป็นทัพขันธ์หนุนเนื่องข้างเบื้องขวา
|
| พลรบถือครบเครื่องศัสตรา | | ประจำหน้าที่ไม่ถอยคอยต่อกร
|
| เจ้าคุณกำกับพลคนทั้งปวง | | เป็นทัพหลวงรี้พลคนสลอน
|
| ตั้งนายกองนายทัพเป็นตับตอน | | แม้นราญรอนท่วงทีจะมีชัย
|
| ซึ่งท่านหลวงทวยหาญเชี่ยวชาญชัด | | กับขุนจัดกระบวนพลเป็นคนใหญ่
|
| คุมทหารสำหรับแม่ทัพไป | | ระวังภัยมิได้หมิ่นอรินพาล
|
| พระพิบูลไอศวรรย์ตัวกลั่นกล้า | | เป็นปีกขวาทัพใหญ่ใจทหาร
|
| ท่วงทีกลศึกฝึกชำนาญ | | ย่อมรู้การแม่นยำทำอุบาย
|
| ซึ่งพระชาติสุเรนทร์นั้นเจนทัพ | | การรบรับแล้วไม่หย่อนถอนขยาย
|
| คุมขุนหมื่นไพร่ฉกรรจ์พันทนาย | | เป็นปีกซ้ายท่วงทีดีกว่าคน
|
| ซึ่งพระยามหานุภาพนั้น | | ก็แข็งขันการศึกได้ฝึกฝน
|
| ให้ว่าที่ปลัดทัพกำกับพล | | เพื่อประจญประจัญบานรับด้านกัน
|
| หลวงภักดีจุมพลรณดิลก | | เป็นที่ยกกระบัตรทัพเห็นขับขัน
|
| ท่วงทีมีอำนาจฉลาดครัน | | รู้สันทัดแท้ไม่แปรปรวน
|
| ซึ่งขุนสกลสารบาลใจหาญฮึก | | ในการศึกแล้วไม่พรั่นใจผันผวน
|
| เป็นที่จเรทัพจับกระบวน | | เจ้าจำนวนริ้วทัพกำกับการ
|
| ซึ่งท่านขุนอินทร์วิเชียรชาติ | | ขุนพรหมราชปัญญาล้วนกล้าหาญ
|
| ขุนนราชุมพลคนชำนาญ | | ขันสัจวาทิการทั้งสี่นาย
|
| เป็นกองแซงด้านในล้วนใจกาจ | | ด้วยองอาจมิได้พรั่นจิตมั่นหมาย
|
| อยากรบศึกฝึกตัวไม่กลัวตาย | | คุมนิกายพลรบครบทุกคน
|
| หลวงกิจจานุกิจประกาศนั้น | | ก็เข้มขันชุมนุมคุมพหล
|
| หลวงอาสาสำแดงรู้แต่งพล | | เมื่อประจญประจัญรับกับอริน
|
| หลวงจัตุรงคโยธาปัญญาลึก | | การรบศึกแล้วไม่หันพักตร์ผันผิน
|
| ขุนนราฤทธิไกนใจทมิฬ | | ขุนพิชัยชาญยุทธศิลป์รวมห้านาย
|
| ล้วนคุมไพร่ไวว่องเป็นกองหลัง | | ถือโล่ห์ดั้งและดาบกำซาบสาย
|
| ทั้งปืนใหญ่ปืนน้อยปล่อยลูกปราย | | ดาบตะพายง้าวทวนกระบวนเรียง
|
| ท่านหลวงทรงศักดาปัญญายง | | ดั่งเล่าฮ่องตงเรื่องสามก๊กตีลกเอี๋ยง
|
| ท่านขุนอินทรภักดีฤทธีเพียง | | เสมอเกียงอุยอาจฉลาดการ
|
| ท่านขุนรักพลพยุห์ใจดุเหลือ | | ยิ่งกว่าเสือฤทธาก็กล้าหาญ
|
| ท่านขุนราชเมธาปัญญาชาญ | | ล้วนกองด้านแซงนอกพลหอกแดง ฯ
|
|
|
| ๏ เจ้าคุณคัดจัดกระบวนครั้นถ้วนพร้อม | | ต่างฝึกซ้อมเหล่าทหารชาญกำแหง
|
| ครั้นรุ่งขึ้นอีกเวลาพอฟ้าแดง | | ต่างจัดแจงเบิกช้างโคต่างกัน
|
| ท่านยกกระบัตรทัพก็จับจ่าย | | ทั้งช้างพลายพังทั่วล้วนตัวกลั่น
|
| พวกนายทัพนายกองเที่ยวมองพลัน | | แล้วเลือกสรรช้างขี่ดีทุกคน ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นรุ่งขึ้นเดือนสิบสองแรมห้าค่ำ | | เป็นวันกำหนดเคลื่อนเลื่อนพหล
|
| ย่ำรุ่งแจ้งแสงศรีสุริยน | | พวกไพร่พลเตรียมพร้อมไม่พลอมแพลม
|
| ด้วยว่ายกกระบัตรจัดกระบวน | | งามธงทวนพู่หอกดั่งดอกแขม
|
| ที่ในท้องทุ่งนาไม่ราแรม | | สีขาวแซมแดงเขียวงามเทียวทวน
|
| เจ้าคุณนั่งคอยฤกษ์คอยเบิกเนตร | | นั่งสังเกตฤกษ์นั้นไม่ผันผวน
|
| พอได้สกุณฤกษ์เบิกกระบวน | | ลั่นฆ้องถวนสามครั้งขึ้นยังเกย
|
| ขึ้นสู่ช้างกระโจมแดงแสงระยับ | | รูดม่านเยียรบับนั้นเปิดเผย
|
| ดูงามงดรจนาสง่าเงย | | ช้างตัวเคยเป็นประเทียบหลังเรียบดี
|
| เดินไม่กระเพื่อมเพื้อมกระเทือน | | ค่อยคลาเคลื่อนมาในทางหว่างวิถี
|
| เสียงเท้าคนเดินดงเป้นผงคลี | | ดั่งธรณีเพียงจะแยกแตกเป็นคลอง ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงประตูป่าที่อารักษ์ | | คนหยุดพักบูชังสิ้นทั้งผอง
|
| เจ้าคุณก็จำเนียรจุดเทียนทอง | | แล้วจึงร้องเรียกคนให้ไปบูชา
|
| เสร็จคลาเคลื่อนกองทัพไม่ยับยั้ง | | ถึงกระทั่งห้วยกระบอกเป็นซอกผา
|
| ก็ลุยช้างข้ามลำแม่น้ำมา | | ดงพระยาเย็นเชียบเงียบเหงาใจ
|
| ล้วนป่าทึบดงชัฏสงัดแท้ | | มองเห็นแต่ยางยูงสูงไสว
|
| โศกสักกรักกร่างมะทรางไทร | | แสลงใจจิ่งจ้อคล้อตะคล้อง
|
| มะตูมตาดเต็งแต้วแก้วมะกา | | คางมะค่าประคำร้อยและข่อยหยอง
|
| กระท้อนกระทุ่มอุทุมพรและค้อนกลอง | | มะพลับพลองพลวงกะเพราสะเดาดง
|
| ต้นตะโกสะแกแสมสาร | | ต้นกำยานพระยายาและกาหลง
|
| อัมพามะพูดชลูดโรกโลดทะนง | | ทั้งเปรงปรงโปร่งฟ้าและขานาง
|
| ต้นก้านเหลืองมะเฟืองมะฝ่อไฟ | | สลัดไดนางรองและทองหลาง
|
| มะกอกดอกประดู่ต้นหูกวาง | | มะสังทรางส้มเสี้ยวเล็บเหยี่ยวยล
|
| เกดกุ่มพุมเรียงและเหียงหาด | | มะตูมตาดติดดอกบ้างออกผล
|
| ตะเคียนเคียงเรียงระดะดูปะปน | | มีทั้งคณฑาไทยลำไยดง
|
| ตะแบกกระเบากรันเกราไกร | | ทั้งเนื้อไม้กฤษณามหาหงส์
|
| ต้นกระทิงกระท่อมพะยอมประยงค์ | | ทั้งคนทรงแส้ม้าพระยารัง
|
| ต้นดีหมีตาเสือมะเกลือมะกล่ำ | | เหลือจะรำพันไม้เหมือนใจหวัง
|
| ด้วยอกฉันแทบพองเป็นหนองพัง | | เหลือประทังที่จะทนหมองหม่นมัว
|
| คิดเกรงด้วยความไข้อกใจฝ่อ | | ฤทัยท้อแดดแฝงแสงสลัว
|
| เข้าใต้พงดงรังระวังตัว | | เพราะใจกลัวไข้ป่าจะฆ่าตาย
|
| ไหนจะคิดถึงคู่ที่ชูจิต | | ครั้นหวนคิดถึงไข้แล้วใจหาย
|
| ไหนจะคิดถึงญาติไม่ขาดวาย | | ทั้งพี่ชายน้องสาวและอาวอา ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นมาถึงลำโศกวิโยคเศร้า | | โอ้โศกเราเหลือลึกพ้องพฤกษา
|
| มีลำธารน้ำเฉื่อยไหลเรื่อยมา | | เหมือนน้ำตาฉันไหลใจรัญจวน
|
| ต้นโศกเคียงเรียงรายอยู่ชายทาง | | แลสล้างเหมือนหนึ่งว่าพฤกษาสวน
|
| เหมือนโศกฉันรายทางไม่ห่างครวญ | | ไห้โหยหวนมาในทางกลางอรัญ
|
| ซึ่งหนทางเดินยากลำบากเหลือ | | แม้นมาเมื่อหน้าน้ำจะทำขัน
|
| เหล่าไพร่พลคงตายวายชีวัน | | ตั้งนับพันนับร้อยไม่น้อยตน
|
| ด้วยหนทางพอช้างจุตัวย่อง | | เหมือนลำคลองแม่หมูฤดูฝน
|
| น้ำคงท่วมเลยประศีรษะคน | | จะยกพลขึ้นบนบกก็รกเกิน
|
| ด้วยไม้ใหญ่เรียงชิดติดเป็นพื้น | | ตลอดยืนถึงลำเนาภูเขาเขิน
|
| ถึงจะให้คนถางหนทางเดิน | | ตลอดเนินแล้วคงตายลงหลายพัน
|
| จะทำแพต่อเรือก็เหลือคิด | | ไปสักเส้นเห็นจะติดศิลากั้น
|
| จะหามเรือไปก็ยากลำบากครัน | | ด้วยเป็นหลั่นเป็นตอนลุ่มดอนไป
|
| จะหาที่ต่อเรือเหลือลำบาก | | จะโค่นถากถางดงที่ตรงไหน
|
| นอนค้างดงหลายวันคงบรรลัย | | ด้วยความไข้มิใช่ชั่วกลัวระวัง
|
| ฤดูนี้เรามาเหมือนหน้าแล้ง | | ยังไม่แห้งน้ำเฉอะล้วนเลอะขัง
|
| ถ้าแม้นมาหน้าฝนพ้นกำลัง | | เป็นต้องฝังกันในดงลงสักพัน
|
| มิใช่เขาตัวเราเป็นหนึ่งแน่ | | ไม่เที่ยงแท้โดยคำธรรมขันธ์
|
| อนิจจาว่าไม่เบี่ยงไม่เที่ยงธรรม์ | | ไม่รู้วันที่จะตายทำลายตน
|
| ไม่รู้ตัวว่าจะตายทำลายแท้ | | เว้นเสียแต่ผู้วิเศษแจ้งเหตุผล
|
| จึ่งรู้ตัวว่าจะตายวายกังวล | | ปุถุชนหาได้น้อยไม่ค่อยมี
|
| ฉันคิดถึงความตายใจหายวาบ | | เหมือนเกิดลาภตามทางกลางวิถี
|
| หากว่าบุญเราหลายได้นายดี | | ไม่อินทรีย์ของเราเน่าอยู่ไพร
|
| หากว่าเดชะบุญเจ้าคุณโข | | สู้ตอบโต้ท้องตราหามาไม่
|
| ถ้าเหมือนเขาเมายศไม่อดใจ | | คงพาไพร่มาล้างเรี่ยทางเดิน
|
| คนอื่นก็พูดกันเช่นฉันว่า | | เหล่าโยธาชวนกันสรรเสริญ
|
| บ้างนบนอบขอบบุญเจ้าคุณเกิน | | บ้างอวยชัยให้เจริญยิ่งภิญโญ
|
| ตัวฉันนั่งแล้วลองคิดตรองตรึก | | ถ้าปะศึกท่วงทีจะดีโข
|
| ด้วยฝูงไพร่พร้อมพรั่งตั้งมโน | | แผลงเดโชเอาชนะกะศัตรู
|
| ของสนองพระเดชคุณอุดหนุนแท้ | | เจ้าคุณแม่ทัพนี่อารีอยู่
|
| ค่อยเคลื่อนคลายหายเข็ญท่านเอ็นดู | | ช่วยชื่นชูชีวังเรายั่งยืน
|
| เหล่าพวกไพร่พูดจาว่ากันวุ่น | | ขอแทนคุณท่านเมตตาจะฝ่าฝืน
|
| จะเอากายเป็นค่ายตับรับลูกปืน | | พูดกันดื่นเจียวอย่างนี้เห็นมีชุม
|
| ค่อยเดินช้างมาในกลางพนมวัน | | หัวอกฉันร้อนใจดั่งไฟสุม
|
| แสนกระสันเศร้าโศกเหมือนโรครุม | | ให้กลัดกลุ้มตรมใจไม่เสบย ฯ
|
|
|
| ๏ มาถึงห้วยหินลับดูลับลี้ | | เหมือนกับพี่ลับมานิจจาเอ๋ย
|
| ทั้งลับตาลับหูลับคู่เชย | | เมื่อไรเลยจะหายลับกลับได้ยล
|
| ตั้งแต่มาหาได้ลืมแม่ปลื้มจิต | | เฝ้าแต่คิดถึงวันหลายพันหน
|
| ถึงยามกินยามนอนให้ร้อนรน | | เป็นกังวลคะนึงคิดถึงนาง
|
| ทั้งคิดถึงมารดาและอาพี่ | | ปานฉะนี้จรดลจิตหม่นหมาง
|
| คงคิดถึงลูกหลานข้ามด่านทาง | | มาในกลางดงป่าพระยาไฟ
|
| ชาวบางกอกออกชื่อพระยาเย็น | | แล้วก็เป็นสั่นหัวกลัวความไข้
|
| ซึ่งเรามานี้จะรอดตลอดไป | | หรือจะไม่พ้นดงจะปลงชนม์ ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นมาถึงคันยาวขึ้นเขาโขด | | สูงเด่นโดดแลเยี่ยมเทียมเวหน
|
| ช้างปีนขึ้นตัวตั้งระวังตน | | ขึ้นสุดบนยอดเขาลำเนาเนิน
|
| ข้างทางแลเป็นเปลวล้วนเหวผา | | หนทางมาสูงโดดบนโขดเขิน
|
| เป็นคันน้อยริมทางพอช้างเดิน | | สะทกสะเทิ้นกลัวจะตกหกคะมำ
|
| ภูเขาเล่าก็ชันเป็นหลั่นลด | | ช้างค่อยจดเดินเรียงกลัวเพลี่ยงพล้ำ
|
| ค่อยค่อยคุกขาหน้าอุตส่าห์คลำ | | แม้นถลำแล้วเป็นเหลวด้วยเหวลึก
|
| ซึ่งคนอยู่บนสัปคับนั้น | | มือถือมั่นตัวโยกอยู่โงกหงึก
|
| ดูเหวเห็นใจเต้นอยู่ทึกทึก | | ช้างพลาดกึกคนงูบจับกูบงัน
|
| คนเดินเท้าเล่าก็ล้าทำหน้าจืด | | คันยาวยืดใช่ง่ายเดินผายผัน
|
| ซึ่งหนทางนั้นเล่าภูเขาชัน | | ช้างยังดันเต็มแย่อ้อแอ้ไป
|
| ฉันขี่ท้ายช้างเจ้าคุณเป็นบุญเกิน | | แม้นต้องเดินเคี่ยวเข็ญเป็นไม่ไหว
|
| นี่ไม่ต้องล้าเลื่อยเหน็ดเหนื่อยใจ | | เพราะว่าได้ขี่ช้างทางกันดาร ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงทับมะค่าเห็นน่าหยุด | | พี่แสนสุดเป็นสุขสนุกสนาน
|
| แลตลอดโล่งเตียนเลี่ยนเป็นลาน | | แลเชิงชานภูผาเห็นน่าชม
|
| ที่นั่นมีอารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ | | สิงสถิตมาแท้แต่ประถม
|
| คนกองทัพพรั่งพร้อมน้อมประนม | | ที่ใต้ร่มไม้รังตั้งบูชา
|
| แล้วคลาเคลื่อนกองทัพไม่ยับยั้ง | | ดูคับคั่งพลนิกายทั้งซ้ายขวา
|
| บ้างเป็นหลุมเป็นบ่อมรคา | | บ้างตั้งท่าชันตรงลดลงดิน
|
| ทางขึ้นขึ้นลงลงในดงชัฏ | | บ้างเดินลัดหลีกออกทางซอกหิน
|
| บ้างสูงเยี่ยมเทียมฟ้าเมฆาฆิน | | บางแห่งเห็นเหม็นกลิ่นมาไม่ดี
|
| ในดงชัฏฝูงสัตว์ไปไหนหมด | | ไม่ปรากฏเจอพักตร์ฝูงปักษี
|
| ไม่ยินเสียงลิงค่างบ่างชะนี | | ไม่เห็นมีนึกประหลาดอนาถใจ ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นมาถึงมวกเหล็กเป็นที่เลี่ยน | | สะอาดเตียนที่ทางช่างกว้างใหญ่
|
| ก็หยุดซึ่งพหลพลไกร | | เอาผ้าใบดาดหลังคามีฝาบัง
|
| ทำเป็นที่สำหรับประทับผ่อน | | คนล่วงหน้ามาก่อนปลูกสองหลัง
|
| ดีกว่าคาแฝกมุงไม่รุงรัง | | ยกกูบตั้งในสำหรับแม่ทัพนอน
|
| ครั้นเวลาคำรบเมื่อพลบค่ำ | | คนประจำหน้าที่มีสลอน
|
| คอยนั่งยามตามไฟที่ในดอน | | บางคนผ่อนพักหลับระงับกาย
|
| ฟังเสียงฆ้องกระแตแซ่เสนาะ | | ทั้งเสียงเกราะหวั่นไหวน่าใจหาย
|
| ซึ่งละอองน้ำค้างลงพร่างพราย | | ร่วงโปรยปรายต้องทั่วทุกตัวคน
|
| ตัวฉันนอนในแต๊นท์แสนสบาย | | พอค่อยวายตากน้ำค้างอย่างเม็ดฝน
|
| ก็พอค่อยเป็นสุขไม่ทุกข์ทน | | นอนเหนือบนพรมลาดสะอาดกาย
|
| แสนคะนึงถึงคู่ที่ชู้ชื่น | | ในกลางคืนนอนไม่หลับกระสับกระส่าย
|
| โศกถึงมิตรคิดถึงเมียยิ่งเสียดาย | | เฝ้านอนฟายชลนาไห้จาบัลย์
|
| โอ้พวงพะยอมหอมไม่หายวายระเหย | | เมื่อไรเลยจะได้กลับไปรับขวัญ
|
| พี่จากเจ้าลี้ลับมานับวัน | | จะไกลกันไปทุกทีตั้งปีเดือน
|
| แสนเป็นห่วงดวงจิตขนิษฐ์นาฏ | | เป็นห่วงญาติน้อยใหญ่ใครจะเหมือน
|
| ห่วงสมบัติพัสถานห่วงบ้านเรือน | | เป็นห่วงเพื่อนพิสมัยอาลัยลาญ
|
| เวลาตีสิบทุ่มยิ่งกลุ้มจิต | | ขุนพินิจรัวฆ้องเพรียกเรียกทหาร
|
| ให้ผูกช้างผูกม้าไม่ช้านาน | | มาเตรียมการพร้อมพรั่งช้างพังพลาย
|
| แล้วบอกให้ช้างคุกบรรทุกของ | | ทุกหมวดกองเตรียมกันจะผันผาย
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย | | ขึ้นช้างพลายสีดอลออตา
|
| ตีสิบเอ็ดเสร็จเขยื้อนคลาเคลื่อนทัพ | | พร้อมเสร็จสรรพไพร่นายทั้งซ้ายขวา
|
| กระบวนทัพขับขันอรัญวา | | ล้วนแต่ป่าดงชัฏสงัดใจ
|
| แสงพระจันทร์สว่างกระจ่างแสง | | แต่บังแฝงยงยูงสูงไสว
|
| ส่องสว่างอยู่บนกลางนภาลัย | | แต่ว่าในดงคลุ้มเป็นพุ่มพฤกษ์
|
| คนเดินเท้าแสนขยาดอนาถเหลือ | | คิดกลัวเสือสัตว์ป่าเวลาดึก
|
| ที่ลางคนคร้ามขลาดอนาถนึก | | ต่างโห่ฮึกเสียงกันอันตราย
|
| หนทางก็เหลือเลอะน้ำเฉอะชุ่ม | | ล้านแต่หลุมหล่มเลอะเปรอะใจหาย
|
| ครั้นจวนแจ้งแสงเมฆาเวลางาย | | ฉันไม่วายคิดถึงน้องจิตหมองมล ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงทุ่งใช้วานฉันวานหน่อย | | ไปบอกสร้อยเสาวเรศแจ้งเหตุผล
|
| ว่าฉันไม่มีสุขเฝ้าทุกข์ทน | | แลไม่ยลผู้ใดจะใช้วาน
|
| ยิ่งโหยหวนครวญหานิจจาเอ๋ย | | ผู้ใดเลยจะช่วยกล่าวนำข่าวสาร
|
| ไปถึงมิตรขนิษฐายุพาพาล | | แจ้งเหตุการณ์ว่าพี่ดีสบาย
|
| ไม่เจ็บปวดป่วยช้ำมีความสุข | | เป็นแต่ทุกข์เศร้าโทรมถึงโฉมฉาย
|
| เป็นสุดงดที่จะคลาดสวาทคลาย | | คิดถึงสายสุดที่รักที่จากทรวง ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงสระคุดเห็นสระมีประจักษ์ | | ประหลาดนักสระอะไรช่างใหญ่หลวง
|
| ฝูงคนมาวิดวักอาบตักตวง | | น้ำในห้วงถึงว่าแล้งไม่แห้งใน
|
| เวลาเช้าฟ้าโล่งสี่โมงครึ่ง | | เจ้าคุณจึ่งหยุดพหลพลไพร่
|
| เสพโภชนาหารสำราญใจ | | แล้วยกไปเข้าพงดงวนา
|
| ที่ผืนแผ่นดินบางแห่งบ้างแดงล้ำ | | บ้างก็ดำเหมือนแสร้งแกล้งมุสา
|
| บางแห่งเหลืองสีล้ำดอกจำปา | | พื้นสุธาบางแห่งขาวไม่ร้าวราน
|
| ที่ในดงพงพฤกษ์นึกประหลาด | | ด้วยอากาศดงร้ายหลายสถาน
|
| บางแห่งร้อนบางแห่งเย็นเป็นวิการ | | บ้างสะท้านจับเท้าหนาวขึ้นมา
|
| บ้างครั่นเนื้อตัวร้าวชักหาวนอน | | บ้างก็ร้อนวิบัติขัดนาสา
|
| บางแห่งวิงเวียนหัวมืดมัวตา | | บ้างจับนาสิกให้ชักไอจาม
|
| บ้างก็เหม็นขื่นเขียวเหม็นเปรี้ยวบูด | | ไม่อาจสูดด้วยว่าจิตนั้นคิดขาม
|
| ด้วยอายแร่แต่ดินมักกินลาม | | ตลอดตามสองข้างหนทางจร
|
| อีกอายว่านอายยาในป่าชิด | | ล้วนมีพิษขึ้นอยู่ดูสลอน
|
| ครั้งต้องแสงสุริยาทิพากร | | กำเริบร้อนด้วยพิษฤทธิ์วิกล
|
| อายพื้นดินนำพาให้อาพาธ | | วิปลาสแรงกล้าเมื่อหน้าฝน
|
| ตกแล้งหมาดขาดเหงื่อยังเหลือทน | | จึงพาคนให้เป็นไข้ได้รำคาญ
|
| คนเดินเท้าก้าวหล่มบ้างล้มลุก | | ช้างเดินบุกหล่มล้าน่าสงสาร
|
| เหล่าโคต่างล้าล้มอยู่ซมซาน | | บ้างวายปราณกลิ้งตายเป็นหลายโค
|
| ช้างบุกหล่มบ้างล้มด้วยเต็มล้า | | ดูก็น่าสมเพชสังเวชโข
|
| เจ้าของช้างเสียใจร้องไห้โฮ | | ว่าพุทโธ่ซื้อมาราคาแพง
|
| ที่ช้างใหญ่ไม่สู้ล้ามาติดติด | | พระอาทิตย์คล้ายบ่ายลงชายแสง
|
| คนเดินเท้าอ่อนล้าระอาแรง | | บ้างย่องแย่งเท้าพุปะทุพอง ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นออกจากป่าดงพ้นพงชัฏ | | โสมนัสยินดีไม่มีสอง
|
| ก็หยุดยั้งฝั่งน้ำลำตะคลอง | | ต่างขนของปลงช้างกูบวางราย
|
| คนปลูกแต๊นท์สำเร็จโดยเสร็จสรรพ | | เจ้าพระยาแม่ทัพเสร็จผันผาย
|
| เข้าพักในร่มแต๊นท์แสนสบาย | | พลนิกายล้อมรอบขอบมณฑล
|
| ครั้นรุ่งแสงสุริยาภานุมาศ | | จึ่งประกาศแก่เหล่าชาวพหล
|
| จะต้องพักอยู่นี่คอยรี้พล | | ที่เหลือล้นล้าหลังยังไม่มา
|
| ซึ่งชาวบ้านอยู่ยังแขวงจังหวัด | | ในดงชัฏล้วนลาวคนชาวป่า
|
| เขาก็ชักชวนกันมาวันทา | | เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง
|
| บ้างเอาส้มหน่วยและกล้วยหวี | | ใจอารีมาคำนับรับสนอง
|
| บ้างก็หาพริกผักและฟักทอง | | ทำเป็นของกำนัลจัดสรรมา
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็รับรอง | | กล่าวคำพร้องถามดั่งจิตกังขา
|
| อยู่ในพนมวันอรัญวา | | เจ้าคิดหากินนั้นด้วยอันใด
|
| ซึ่งคนเป็นผู้ดีอย่างมีทรัพย์ | | คะเนนับของเจ้าสักเท่าไหร่
|
| พวกลาวเรียนแอ่ออพูดจ้อไป | | บ้างวาได้ปีหนึ่งตำลึงเดียว
|
| บ้างว่ามีพอหยิบสิบสลึง | | บ้างว่ามีบาทหนึ่งขอดจนเขียว
|
| ที่เศรษฐีอย่างยิ่งมีจริงเจียว | | ตระหนี่เหนียวห้าตำลึงนั้นพึ่งมี
|
| ท่านเจ้าคุณได้ฟังคิดสังเวช | | ครั้นแจ้งเหตุพวกลาวชาววิถี
|
| คิดสมเพชเวทนานึกปรานี | | ใจอารีแก่คนที่จนจริง
|
| ท่านแจกเงินคนละบาทไม่ขาดหน้า | | ลาวที่มานั่งรายทั้งชายหญิง
|
| บางคนกลัวจะไม่ได้ใจประวิง | | ไม่นั่งนิ่งลุกขยับมาฉับพลัน
|
| ล้วนได้เงินคนละบาทสมมาดหมาย | | ทั้งหญิงชายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
|
| บ้างไหว้แล้วไหว้เล่าเฝ้ารำพัน | | อวยพรท่านเจ้าคุณให้บุญมี ฯ
|
|
|
| ๏ พอรุ่งเช้าเจ้าคุณท่านทำศาลเจ้า | | ปลูกไว้เคียงศาลเก่าริมวิถี
|
| พร้อมหลังคาปกปิดมิดชิดดี | | ดูท่วงทีเรือนฝรั่งด้วยช่างทำ
|
| วิไลเลิศเฉิดฉายถวายเจ้า | | อีกรูปเสาวลึงค์ดูขึงขำ
|
| ใหญ่โตคะเนตาสักห้ากำ | | สง่าง้ำอยู่ในศาลสะอ้านตา
|
| เครื่องบางสรวงเป็ดปูหัวหมูเหล้า | | ถวายเจ้าให้พิทักษ์ช่วยรักษา
|
| พวกนายทัพนายกองเนืองนองมา | | ซึ่งบรรดาพลไพร่ได้เอ็นดู
|
| ซึ่งโรคภัยอันตรายอย่ากรายกล้ำ | | เจ้าจงบำบัดภัยอย่าให้สู้
|
| ขอจงช่วยบำรุงผดุงชู | | ทุกหมวดหมู่กองทัพจนกลับมา
|
| ด้างอยู่นั้นสองวันกับสามคืน | | พอคนชื่นหายเหนื่อยที่เมื่อยขา
|
| ก็ยกซึ่งพยุหบาตรเยื้องยาตรา | | ข้ามช้างม้าที่แม่น้ำลำตะคลอง
|
| แล้วเดินตามวนาป่าละเมาะ | | ชมว่านเปราะพอพ้นหายหม่นหมอง
|
| ทั้งว่านแรดว่านช้างว่านยางทอง | | ทั้งว่านปล้องว่านปลามหากาฬ
|
| มีทั้งว่านเสน่ห์จันทน์ว่านฟันม้า | | ว่านพระยาสามรากว่านสากสาร
|
| ว่านนิลเพทเจ็ดศีรษะหนุมาน | | มีทั้งว่านตะง้าวว่านสาวพึง
|
| อีกว่านตูมว่านเต่าว่านเฒ่าหง่อม | | และว่านหอมว่านเห็ดว่านเพ็ชหึง
|
| ว่านกำแพงเพชรเจ็ดชั้นสามพันตึง | | อีกว่านอึ่งว่าคางคกว่านนกยาง
|
| ว่านเพ็ดน้อยเพ็ดม้าว่านสาโรช | | ว่านกำโหมดว่านมัวว่านหัวสาง
|
| ว่านแพทว่านรภิมอยู่ริมทาง | | ว่านกระดางนางกวักว่านจักบัว
|
| ว่านเพชสงฆาว่านอาสพ | | ว่านบุตรลบมีเป็นจุกสิ้นทุกหัว
|
| อีกว่านอุกว่านอาบว่านคราบวัว | | อีกว่านพลั่วว่านพลวกว่านหมวกคน
|
| ว่านอีดำอีแดงแสงอาทิตย์ | | และว่านพิษขึ้นหมู่ฤดูฝน
|
| อีกว่านเจ็ดช้างสารว่านกำพล | | ทั้งว่านต้นหลายหลากมีมากนัก
|
| ว่านดีดีมีถมน่าชมชิด | | อยู่ติดติดแลดูล้วนรู้จัก
|
| จะวานเพื่อนก็ไม่พบประสบพักตร์ | | นึกแสนรักแลดูหมู่อรัญ
|
| คิดคิดจะลงช้างวิ่งวางหา | | เกรงอาญาเจ้าคุณจะหุนหัน
|
| ถ้ามาตรแม้นท่านโกรธทำโทษทัณฑ์ | | นึกหาอันจะรำคาญด้วยว่านยา ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงพุนกยูงมุ่งเขม้น | | มิได้เห็นนกยูงฝูงปักษา
|
| นกยูงไปไหนนะไม่ปะตา | | ขอเชิญมาตรงนี้ขอพี่ชม
|
| ฟ้อนหางให้พี่วายหายกำสรวล | | ช่วยชักชวนพอให้ปลื้มลืมประถม
|
| คิดถึงน้องหมองในฤทัยตรม | | อกระทมอยู่เจียวฉันแต่วันมา
|
| ครั้นกองทัพลับพุนกยูงแล้ว | | ไม่ผ่องแผ้วเหือดสิ่นถวิลหา
|
| ช้างก็เดินโดยทางกลางวนา | | พระสุริยาบ่ายน้อยคล้อยอำพน ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงนครจันทึกนึกสงสัย | | เมืองอะไรกลางป่าน่าฉงน
|
| ไม่เห็นมีที่อยู่เหล่าผู้คน | | หรือว่าต้นไม่บังเมืองตั้งไกล
|
| ครั้นพ้นท้องทุ่งกว้างมีทางตรง | | แลเห็นธงปักแพ้วอยู่แหววไหว
|
| เขาบอกว่าเสือกินคนฉงนใจ | | เสืออะไรมีอยู่มากฉันอยากยล
|
| ถามนายแขวงนายกำนันนั้นเขาว่า | | กองทัพมาเมื่อหมู่ฤดูฝน
|
| มาเจ็บนอนอยู่ในป่ารักษาตน | | เพื่อนสองคนอยู่รักษาพยาบาล
|
| ครั้นว่าฝนตกหนักเพื่อนผลักหนี | | เจ้าคนเจ็บเต็มทีน่าสงสาร
|
| ก็นอนอยู่เอกีราตรีกาล | | เสือก็คลานเข้าฟัดขบกัดกิน
|
| แล้วคนเขาเดินพบอศภเหลือ | | เป็นรอยเสือกัดไว้ยังไม่สิ้น
|
| ทำธงปักให้คนเขายลยิน | | ว่าตรงถิ่นที่นี่มีรังควาน
|
| ซึ่งตัวฉันได้ฟังคิดสังเวช | | นึกสมเพชมิได้วายหายสงสาร
|
| ถ้าแม้นเราเจ็บลงอยู่ดงดาล | | เป็นอาหารเสือเหมือนเขาอกเราอา
|
| ถึงเราเจ็บเจ้าคุณเห็นเป็นไม่ทิ้ง | | เป็นความจริงใช่แสร้งแกล้งมุสา
|
| คงไม่ต้องว้าเหว่อยู่เอกา | | ด้วยเรามาริมเท้าแห่งเจ้านาย
|
| แต่คนอื่นเป็นไข้อยู่ในทาง | | ยังให้ช้างขี่มารักษาหาย
|
| แล้วเจ้าคุณสั่งทั่วทุกตัวนาย | | พลนิกายเจ็บจริงอย่าทิ้งกัน ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงกุดผักหนามเหมือนหนามยอก | | ไม่หลุดออกจากอกวิตกฉัน
|
| เฝ้าแปลบปลาบอยู่เช่นนี้ทุกวี่วัน | | โศกกระสันนี้เหมือนหนามยอกตามทรวง
|
| ซึ่งหนามผักหนามพงพอบ่งได้ | | หนามในใจสุดจักคิดหนักหน่วง
|
| แม้นได้ยลพักตราสุดาดวง | | หนามคงร่วงหลุดตกจากอกพลัน
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่ง | | ให้ยับยั้งซึ่งพหลพลขันธ์
|
| พลไพร่ตั้งล้อมอยู่พร้อมกัน | | พักอยู่นั่นนอนคืนเช้าตื่นไป
|
| ก็คลาเคลื่อนเขยื้อนยาตรคลาดกระบวน | | ดูธงทวนแลเป็นทิวปลิวไสว
|
| ก็รีบเร่งพหลพลไกร | | ถึงเขาใหญ่เขื่อนลั่นกั้นหนทาง
|
| เดินตามตรอกซอกผาศิลาลื่น | | ไสช้างขึ้นลำเนาภูเขาขวาง
|
| ดูสูงเยี่ยมเทียมเวหานภาพางค์ | | เจ้าแม่นางงามสถอต(?)ศักดิ์สิทธิ์ครัน
|
| พวกกองทัพนับถือบูชาเจ้า | | ที่เชิงเขาน้อมถวายแล้วผายผัน
|
| ขึ้นหนทางดูช้างขึ้นตัวชัน | | อุตส่าห์ดันขึ้นเขาค่อยเทาเดิน
|
| ชมพูผาแลเลื่อมเป็นเหลื่อมย่อ | | ตะแง้ตะงอเงื้อมชะงักตะพักเผิน
|
| บ้างเวิ้งวุ้งรุ้งตะเพิงดั่งเชิงเทิน | | บ้างเป็นเนินลาดเตียนเลี่ยนเป็นลาน
|
| เดินช้างข้ามตลอดพ้นยอดเขา | | ช้างก็เหย่าเดินใหญ่ในไพรสาณฑ์
|
| ข้ามดงออกป่ามาไม่นาน | | ข้ามท้องธารออกทุ่งฝุ่นฟุ้งทาง ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงลาดบัวขาวเช้าสังเกต | | สี่โมงเศษหยุดสำนักพักตามอย่าง
|
| เสพโภชนาหารสำราญพลาง | | อยู่ที่หว่างร่มรุกขะเรียงราย
|
| เห็นหนองน้ำใหญ่โตมีโกมุท | | บ้างพ้นผุดจากวนชลสาย
|
| น้ำใสสะอาดเย็นมองเห็นกาย | | มัจฉาว่ายอยู่ในวนชลธาร
|
| ซึ่งพักอยู่ที่นั่นไม่ทันช้า | | เสร็จคลาดคลาเคลื่อนพหลพลทหาร
|
| เดินดงออกแดนแสนสำราญ | | แล้วลงธารเลยท่าเดินผ่าพง ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงสีคิ้วเหมือนน้องรักของพี่ | | หล่อนเคยสีผึ้งวาดพาดขนง
|
| ประจงจัดดัดง้อมน้อมเป็นวง | | ดั่งศรองค์หริรักษ์พระจักรี
|
| เห็นเรือนลาวชาวย่านบ้านสีคิ้ว | | เป็นแถวทิวตลอดทางหว่างวิถี
|
| เห็นคอกโคเขื่อนรอบเป็นขอบดี | | กว้างสักสี่ห้าเส้นเห็นวิไล
|
| มีทั้งอาวาสสะอาดเอี่ยม | | ปักไม้เสียมเขื่อนเคียงเรียงไสว
|
| นี่ใครหนอสามารถประหลาดใจ | | มาสร้างไว้กลางดอนแต่ก่อนกาล
|
| แลเห็นที่ทำเนียบประเทียบพัก | | ดูคึกคักใหญ่โตรโหฐาน
|
| เมืองโคราชเกณฑ์ระดมกรมการ | | ในแขวงบ้านทำสำหรับกองทัพชัย
|
| พวกกรมการพร้อมพรั่งคอยนั่งรับ | | เชิญเจ้าคุณแม่ทัพพักอาศัย
|
| ท่านเจ้าคุณฟังแถลงครั้นแจ้งใจ | | ก็สั่งให้หยุดพักสำนักพลัน
|
| พวกทหารอยู่รอบริมขอบค่าย | | พลทั้งหลายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
|
| ครั้นพลบค่ำย่ำสงพระสุริยัน | | ต่างชวนกันหลับนอนผ่อนสบาย
|
| ยกกระบัตรท่านจัดให้คนอยู่ | | ทุกหมวดหมู่พร้อมพรั่งสิ้นทั้งหลาย
|
| ตามด้านนอกด้านในทั้งไพร่นาย | | อยู่เรียงรายตามรอบโดยขอบควร
|
| เวลาค่ำย่ำยามตามตำหรับ | | ผู้ตรวจทัพเดินรอบเที่ยวสอบสวน
|
| โดยพิชัยสงครามตามกระบวน | | ดูถี่ถ้วนฟืนไฟระไวระวัง
|
| ฝ่ายขันโลกนัยนาโหราเฒ่า | | แกนั่งเฝ้าดูฟ้าเหมือนบ้าหลัง
|
| ฉันร้องถามด้วยเสียงสำเนียงดัง | | ว่าท่านนั่งดูอะไรไม่ได้การ
|
| แกร้องบอกว่าเปล่าดูดาวเล่น | | ด้วยเห็นเป็นนิมิตผิดสัณฐาน
|
| ดาวพระเสาร์กับดาวพระอังคาร | | เห็นพบพานเข้าเคียงอยู่เรียงกัน
|
| เหล่าคนอื่นตื่นตรูกันดูหมด | | เห็นปรากฏตาคนบนสวรรค์
|
| คนตื่นดูมิใช่น้อยสักร้อยพัน | | เจ้าคุณท่านก็ออกข้างนอกดู
|
| แล้วถามว่าตาโหรเป็นอย่างไร | | ขุนโลกนัยนาก้มหน้าอยู่
|
| แล้วเรียนตามศึกษาตำราครู | | ที่ได้รู้เรียนมาก็ว่าดี
|
| ต่างคนก็กลับไปหลับนอน | | ครั้นทินกรสว่างกระจ่างศรี
|
| มิได้ยกพหลโยธี | | เจ้าคุณมีใจสังเวชสมเพชพล
|
| เพราะด้วยว่าล้าเลื่อยยังเมื่อยนัก | | จะต้องพักผ่อนแรงแห่งพหล
|
| แรมอยู่นี่เสียอีกคืนพอชื่นตน | | ด้วยผู้คนใช้เขาต้องเอาแรง ฯ
|
|
|
| ๏ ยังมีผู้มาร้องฟ้องเจ้าคุณ | | ว่ากรมการทำวุ่นขึ้นในแขวง
|
| ด้วยข้าวสารซื้อหาราคาแพง | | ใจโกงแกล้งเก็บข้าวสารทุกบ้านเรือน
|
| ว่าจะไปจำแนกแจกกองทัพ | | ทำสับปลับโกงใหญ่ใครจะเหมือน
|
| คิดเบียดเบียนผันแปรให้แชเชือน | | อ้างป้ายเปื้อนกองทัพอัประมาณ
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพสดับเรื่อง | | บัญชาเยื้องถามไถ่ปราศรัยสาร
|
| สั่งขุนศรีกระดาลพลคนชำนาญ | | เป็นตระลาการชำระความถามซัก
|
| ท่านขุนศรีคำนับรับบัญชา | | แล้วออกมาถามไถ่ให้ประจักษ์
|
| กรมการรู้ตัวคิดกลัวนัก | | ไม่เยื้องยักสารภาพลงกราบลน
|
| ท่านขุนศรีเรียกเอาซึ่งข้าวสาร | | คืนชาวบ้านก็มารับอยู่สับสน
|
| ล้วนยกมือไหว้ทั่วทุกตัวคน | | ต่างก็ขนข้าวสารไปบ้านเรือน ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นรุ่งขึ้นอีกวันพร้อมกันหมด | | รู้กำหนดจะคลาลีลาเคลื่อน
|
| เหล่าผู้คนพร้อมพรักบ้างตักเตือน | | ชักชวนเพื่อนหุงข้าวแต่เช้ากิน
|
| ครั้นรุ่งแสงสุริยาทิพามาศ | | เสร็จเยื้องยาตรรัถาเปล่งราสิน
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพประดับอินท- | | ทรีย์เสร็จผินขึ้นช้างสำอางพราว
|
| เหล่าพหลพลไพร่น้ำใจคึก | | บ้างโห่ฮึกอึงลั่นสนั่นฉาว
|
| พลรบขบเขี้ยวมาเกียวกราว | | เสียงฝีเท้าคนเดินแทบเนินพัง
|
| แล้วเดินทัพออกทุ่งมุ่งเขม้น | | เหลียวหลังเห็นกองทัพตอนตับหลัง
|
| ยาวเป็นพืดยืดมาประดาดัง | | ดูคับคั่งพวกพหลพลนิกร
|
| เห็นน่าเพลิดเพลินใจมาในทุ่ง | | กว้างเวิ้งวุ้งแลเด่นเห็นสิงขร
|
| ก็ขับช้างเดินผ่าทุ่งนาดอน | | เร่งรีบร้อนเดินมาไม่ช้านาน ฯ
|
|
|
| ๏ พอข้ามลำตะคองถึงสองเนิน | | ดูน่าเพลินวัดมีพร้อมวิหาร
|
| ในใจฉันบันเทิงเริงสำราญ | | เห็นมีบ้านไม่น้อยหลายร้อยเรือน
|
| มองเห็นลาวหญิงชายนั่งรายเรียง | | ถือข้าวห่อนั่งเคียงอยู่กลาดเกลื่อน
|
| แถวยาวนั่งตั้งจิตไม่คิดเชือน | | พอช้างเคลื่อนถึงที่ลงอยู่ตรงกัน
|
| พอเจ้าคุณคลาไคลออกไปดู | | ลาวก็ชูเหนือหัวบ้างตัวสั่น
|
| บ้างก็เรียนว่าของถวายเจ้านายพลัน | | เจ้าคุณท่านเมตตาประชาชน
|
| แจกเงินคนละเฟื้องดูเปลืองโข | | มีมโนศรัทธาหากุศล
|
| ชอบทำบุญวณิพกยาจกจน | | แจกจบพ้นทั่วแล้วทั้งแถวยาว
|
| พวกกองทัพรับเอาห่อข้าวเหนียว | | วิ่งกรูเกรียวยินดีเสียงมี่ฉาว
|
| แก้ดูกันออกสอข้าวห่อลาว | | เกลือสินธาวมีอยู่ริมให้จิ้มกิน
|
| ก็แรมอยู่ที่นั่นไม่ผันผาย | | เวลาสายสุริยาเปล่งราศิน
|
| เช้าสักสามโมงเศษสังเกตชิน | | ต่างก็กินข้างปลาหาสบาย
|
| กรมการอักโขเมืองโคราช | | มาเกลื่อนกลาดคอยรับกองทัพหลาย
|
| ล้วนแต่หลวงพระทั่วลาวตัวนาย | | ต่างผันผายเข้าหาคุณขุนสกล
|
| ผู้ว่าที่มาเหจเรทัพ | | ให้พานำคำนับจอมพหล
|
| ข้างฝ่ายท่านจเรทัพรับยุบล | | มากราบเรียนโดยนุสนธิ์ตามมีมา
|
| ท่านเจ้าคุณยินดีมีประภาษ | | อนุญาตนำเขาเข้ามาหา
|
| ข้างท่านจเรทัพรับบัญชา | | แล้วออกมานำท่านเหล่านั้นไป
|
| กรมการถึงพร้อมน้อมคำนับ | | ต่อจอมทัพเรียนแจ้งแถลงไข
|
| ด้วยพระยากำแหงนั้นแจ้งใจ | | จึ่งใช้ให้มาคำนับรับเจ้าคุณ
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ่ม | | จึ่งเยื้อนแย้มตอบพลันไม่หันหุน
|
| ภิปรายโปรยบัญชาด้วยการุณ | | ขอบใจคุณโคราชประภาษดัง
|
| แล้วถามเรื่องไปพบรบอ้ายฮ่อ | | ยังเหลือหลออยู่บ้างหรือข้างหลัง
|
| กรมการเรียนตามความสัจจัง | | ว่าเหลือยังมีน้อยสักร้อยคน
|
| แล้วเจ้าคุณแม่ทัพก็กลับถาม | | โดยข้อความที่วิเศษตามเหตุผล
|
| การบ้านเมืองเป็นสุขหรือทุกข์ทน | | ซึ่งฟ้าฝนบริบูรณ์หรือสูญทราม
|
| กรมการกราบเรียนจำเนียรนึก | | ว่าเกิดศึกราชประเทศเขตสยาม
|
| ต้องยกทัพจับฮ่อต่อสงคราม | | ไพร่ได้ความยากเย็นเพราะเกณฑ์ไป
|
| เสร็จคำขานกรมการก็ลากลับ | | ค่อยขยับออกมาหาช้าไม่
|
| ครั้นเวลาพลบค่ำลงรำไร | | พลไพร่พรักพร้อมนั่งล้อมวง
|
| ครั้นเวลาประมาณยามสักสามทุ่ม | | เสียงปืนตูมติดติดพิศวง
|
| ท่านขุนสกลสารบาญหาญณรงค์ | | มาปลุกแอตดิกงทั้งสองคุณ
|
| ได้ยินอีกเสียงปืนใหญ่ครืนลั่น | | อัศจรรย์จริงจริงคนวิ่งวุ่น
|
| เตรียมปืนใหญ่เอะอะชุลมุน | | ดินกระสุนพร้อมพรักเตรียมคักคึก
|
| ท่านยกกระบัตรทัพกำชับคน | | ให้เตรียมตนด้วยว่าเวลาดึก
|
| หรือมีปัจจามิตรต่างคิดลึก | | ทัพหน้าพบข้าศึกเสียงลั่นปืน
|
| จึ่งใช้มาเร็วไปให้รู้เหตุ | | ผิดสังเกตปลุกไพร่ไว้ให้ตื่น
|
| เป็นเวลาเที่ยงนางค่ำกลางคืน | | ใช่การอื่นแม้นเลินเล่อจะเผลอตัว
|
| กรมการผูกช้างให้มั่นคง | | จัตุรงค์เตรียมรบอยู่ครบทั่ว
|
| ล้วนทะนงองอาจไม่หวาดกลัว | | บ้างก็หัวเราะชอบจริงอยากชิงชัย
|
| สักครู่หนึ่งพอม้ากลับมาบอก | | เขาจุดดอกไม้พลุประจุใหญ่
|
| บ้านกุดจิกหนทางยังห่างไกล | | จุดดอกไม้ฉลองวัดเขาศรัทธา
|
| ครั้นต่างคนตระหนักประจักษ์แจ่ม | | ก็ยิ้มแย้มเกาหัวอวดตัวกล้า
|
| คิดว่าอ้ายฮ่อยกทัพวกมา | | ตีกองหน้าเราไม่เว้นจักเล่นมัน
|
| ต่างคนก็คืนกลับไปหลับนอน | | ครั้นทินกรพวยพุ่งรุ่งแสงสัน
|
| เสร็จเคลื่อนคลายไพร่พลพหลพลัน | | เลยตะบันล่วงตำบลพ้นนิคม ฯ
|
|
|
| ๏ มาถึงบ้านกุดจิกเห็นจิกต้น | | นี่บุคคลใดหรือตั้งชื่อสม
|
| ไม่สนุกสนานขี้คร้านชม | | ด้วยอารมณ์ฉันร้อนอาวรณ์ครวญ ฯ
|
|
|
| ๏ มาถึงบ้านสลัดไดเหมือนใจพี่ | | สลัดหนีสลัดนางห่างสงวน
|
| เพราะจำเป็นจำใจอาลัยนวล | | ใช่จะหวนใจตัดสลัดจริง ฯ
|
|
|
| ๏ มาถึงบ้านนครคำเหมือนคำพี่ | | เมื่อพาทีคำพร้องกับน้องหญิง
|
| แลเหมือนคำสายสมรแม่วอนวิง | | กลัวจะทิ้งน้องไว้หาใหม่เชย
|
| หล่อนสั่งแล้วสั่งเล่าเฝ้ากำชับ | | ไปแล้วกลับมาดีดีหนาพี่เอ๋ย
|
| ซึ่งเมียใหม่แล้วอย่าพาลงมาเลย | | แล้วภิเปรยพูดฉอ้อนวอนรำพัน ฯ
|
|
|
| ๏ มาถึงบ้านโคกกรวดกรวดระดะ | | ในพื้นพระธรณีงามสีสัน
|
| น้ำฝนเซาะบางเกาะเป็นหลืบลัน | | เป็นชั้นชั้นน่าชมอารมณ์เฟือน ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงสระกระแบกเหมือนแบกซึ่งความรัก | | เหลือจะหนักอกใจใครจะเหมือน
|
| แบกข้าวของเหลือแรงพอแบ่งเบือน | | หรือวานเพื่อนช่วยแบกแยกออกไป
|
| ที่แบกรักหนักใจวางไม่ลง | | เหลือจะทรงกายตั้งนั่งไม่ไหว
|
| เป็นสุดแบกความรักหนักฤทัย | | ประจำใจทรวงพี่ทุกวี่วัน ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงหนองเป็นน้ำมีน้ำจิต | | วิปริตแปรปรวนดูผวนผัน
|
| นกเป็ดน้ำดีเหลือหนอเนื้อมัน | | ในใจฉันอยากกินด้วยยินดี
|
| ครั้นรู้สึกนึกพุทโธมโนกรรม | | คิดจะทำลายสัตว์น่าบัดสี
|
| ชีวิตเขาสิเราจะย่ำยี | | ของตัวมีใจรักเขาจักปอง
|
| ซึ่งคนเหล่าชาวบ้านแถวย่านนั้น | | บ้างชวนกันจัดเอาซึ่งข้าวของ
|
| บ้างมันต้มจิ้มน้ำตาลใส่พานรอง | | คอยนั่งมองตั้งใจให้เจ้าคุณ
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพก็รับของ | | ชาวบ้านช่องนี่ก็สุดตามอุดหนุน
|
| ท่านก็แจกเงินเฟื้องต้องเปลืองทุน | | ท่านทำบุญมิได้ว่างเรี่ยทางมา ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงบ้านมะขามเฒ่าโตเท่าไหน | | กับทุกข์ฉันนั้นใครจะโตกว่า
|
| หรือมะขามเฒ่าชแรแก่ชรา | | ฉันจ้องตามิได้ยลต้นบุราณ ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นมาถึงเขาลาดอนาถจิต | | ชำเลืองพิศดูประเทศเขตสถาน
|
| มีสวนหมากยืดยาวมะพร้าวตาล | | จะเปรียบปานราชบุรณะดาวคะนอง
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงที่หยุดพักสำนักกว้าง | | ก็ปลงช้างผู้คนเข้าขนของ
|
| เข้าในแต๊นท์ที่เขาทำไว้สำรอง | | ยกจำลองเข้าไปวางอยู่ข้างใน
|
| พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดง | | คนล้อมวงพร้อมเพรียงเรียงไสว
|
| นั่งยามตามทำนองก่อกองไฟ | | พลไพร่พร้อมพรั่งอยู่คั่งคับ ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นเช้าตรู่สุริยาส่องอากาศ | | กรมการโคราชมาเป็นตับ
|
| ต่างคนก็นอบน้อมเจ้าจอมทัพ | | แล้วคอยรับบัญชาพร้อมหน้ากัน
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง | | ไม่ขัดข้องรังเกียจคิดเดียดฉันท์
|
| แล้วให้เสื้อให้ผ้าพร้อมหน้าพลัน | | บางคนนั้นได้แหวนแสนวิไล
|
| กรมการดีใจด้วยได้ลาภ | | ต่างคนกราบนบนิ้วอยู่ไสว
|
| ครั้นสิ้นแสงสุริโยอโณทัย | | ต่างคนไปที่พักสำนักตัว
|
| แรมอยู่นั้นสองวันกับสามคืน | | พอคนชื่นล้าเลื่อยหายเหนื่อยทั่ว
|
| ก็เตรียมคนเตรียมช้างเตรียมต่างวัว | | มาเตรียมมั่วสุมไว้ในกลางคืน ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นวันอาทิตย์ขึ้นหนึ่งค่ำเดือนอ้าย | | พระสุริยฉายส่องฟ้าขึ้นฝ่าฝืน
|
| ยกกระบัตรจัดทวนกระบวนปืน | | ต่างก็ยืนคอยอยู่ทุกหมู่กอง
|
| ทัพหน้าแล้วก็มาถึงทัพขันธ์ | | เข้ารวมกันประดังอยู่ทั้งสอง
|
| ปีกขวาปีกซ้ายก็จัดไว้ถัดรอง | | ตามทำนองพยุหบาตรเยื้องยาตรา
|
| ล้วนทหารถือปืนยืนสะพรั่ง | | ถือโล่ห์ดั้งหลาวแหลนดูแน่นหนา
|
| ปืนปื่นพื้นนกสับอันดับมา | | รวมทั้งห้ากองทัพพร้อมสรรพกัน
|
| ล้วนสวมเสื้อเขียวแดงแสงระยับ | | พร้อมเสร็จสรรพพหลพลขันธ์
|
| เหล่าตัวนายขี่ช้างพลายตัวสำคัญ | | ล้วนแต่กั้นสัปทนทุกคนไป
|
| ธงสำหรับนายทัพทั้งหลายนั้น | | ต่างสีสันแลเป็นทิวปลิวไสว
|
| บ้างสีเขียวแดงเหลืองเรืองประไพ | | บางคนใช้ต่างสีมีสำคัญ
|
| แล้วถึงกองทัพใหญ่วิไลเหลือ | | ล้วนสวมเสื้อดีดีต่างสีสัน
|
| ยกกระบัตรจัดทัพอันดับกัน | | ถึงธงไทยใหญ่สนั่นแดงประทาน
|
| แล้วถึงหม่อมราชวงศ์กระจ่าง | | ขี่ม้าสะบัดย่างนำทหาร
|
| ดูท่วงทีเจนจัดหัดชำนาญ | | ล้วนถือขวานฝรั่งทั้งกระบวน
|
| แล้วถึงปืนปะเหรี่ยมล้อเทียมลาก | | คนกระชากล้อหันไปผันผวน
|
| อยู่เรียงรายข้างทางห่างพอควร | | แต่แล้วล้วนปืนใหญ่ไสวตา
|
| แล้วถึงกองขุนสิทธิ์ติดกระชั้น | | มีซายันควงกระบองคล่องหนักหนา
|
| ทหารแถวสองข้างหนทางมา | | ล้วนถืออาวุธสิ้นดูภิญโญ
|
| แล้วถึงกอโปราลภมดูคมขำ | | ขี่มานำทหารประมาณโหล
|
| คุมปืนแคทะริงกันสนั่นโต้ | | มีเดโชยิ่งกว่าปืนอื่นทั้งปวง
|
| แล้วก็ถึงธงทหารสะอ้านแท้ | | ถัดก็แตรขลุ่ยกลองล้วนของหลวง
|
| ยกกระบัตรจัดงามตามกระทรวง | | เดินทักท้วงเตรียมตรวจทุกหมวดกอง
|
| แล้วถึงทหารอย่างยุโรปครบทหาร | | งามตระการเสื้อสีไม่มีสอง
|
| ทั้งข้างแขนพู่บ่าระย้าทอง | | ล้วนแต่ของใหม่ใหม่ได้ประทาน
|
| ทั้งตัวนายขี่ม้าอาชาชาติ | | ดูองอาจสมกายนายทหาร
|
| ประดุจดังยังพยัคฆ์จักทะยาน | | ศัตรูพานพ้องพบรบระอา
|
| ช้างน้ำมันกอโปราลเกศขี่คอ | | พลายสีดอท่วงทีดีหนักหนา
|
| สวมเสื้อยศอย่างทหารประทานมา | | ดูสง่าท่วงทีเห็นดีควร
|
| เหล่าทหารเดินข้างช้างเป็นแถว | | แต่ล้วนแล้วถือปืนยืนอยู่ถ้วน
|
| และขุนหมื่นดาบตะพายรายกระบวน | | ตามจำนวนริ้วทัพอันดับมา
|
| กระบวนช้างตั้งเชือกเป็นเทือกแถว | | ถัดมาแล้วช้างเขนคเชนทร์กล้า
|
| อีกช้างทรงองค์พระปฏิมา | | แล้วถึงช้างเจ้าพระยากระโจมแดง
|
| เหล่าผู้คนคั่งคับอันดับมา | | ขุนบำรุงโยธาตัวเข้มแข็ง
|
| คุมขุนหมื่นเหล่าพวกเสื้อหมวกแดง | | คอยเดินแซงสองข้างหนทางมา
|
| สี่เท้าช้างเจ้าคุณคือขุนรักษ์ | | ขุนอินทรภักดีเนื่องอยู่เบื้องขวา
|
| ขุนนราจุมพลคนปัญญา | | กับขุนราชเมธาอยู่ซ้ายมือ
|
| พวกขุนหมื่นทนายเรียงรายเดิน | | ล้วนแต่เชิญสมรสเครื่องยศถือ
|
| ใส่เสื้อดำริ้วเข้มดูเต็มลือ | | ล้วนขุนหมื่นมีชื่อทุกตัวนาย
|
| หลวงพิชัยเสนาสง่าเหลือ | | สอดสวมเสื้อแดงสีมณีฉาย
|
| เข็มกลัดคาดสายกระบี่มีตะพาย | | ขี่คอพลายประชญมารชาญศักดา
|
| กรกุมขอข้อขึงดูผึ่งผาย | | แล้วยักย้ายท่วงทีดีหนักหนา
|
| ว่าที่แอดดิกงยงศักดา | | เผ็นผู้รักษาแม่ทัพรบไพรี
|
| แล้วถึงช้างคุณบุตรแอดดิกง | | สวมเสื้อส่งสดแสงดูแดงสี
|
| ขี่ช้างพลายโพยมกระโจมมี | | ดูท่วงทีผุดผาดสะอาดตา
|
| แล้วถึงทหารหัดใหม่สไนเด้อร์ | | ไม่เซอะเซ่อท่วงทีดีหนักหนา
|
| เดินในทางสองข้างมรคา | | จ้างมาเป็นนายไม่ร้ายรอง
|
| แล้วถึงคุณพลอยกับคุณนิล | | ดูเฉิดฉินท่วงทีดีทั้งสอง
|
| ใส่เสื้อดำสักหลาดปักคาดทอง | | ดูเรืองรองรจนาโอฬาฬาร
|
| แล้วถึงช้างคุณขาวกับคุณพิน | | ล้วนขี่คอทั้งสิ้นดูอาจหาญ
|
| มือจับขอยอเยื้องเปรื่องชำนาญ | | ล้วนเป็นหลานแม่ทัพกำกับพล
|
| แล้วถึงกองปลัดทัพดูขับขัน | | พร้อมด้วยพันพวกเหล่าชาวพหล
|
| ล้วนแต่ถือเครื่องรบครบทุกคน | | เสื้อสวมตนต่างต่างสำอางตา
|
| แล้วถึงกองยกกระบัตรช่างจัดสรร | | ทหารอย่างวาลันเตียซ้ายขวา
|
| ล้วนถือเครื่องอาวุธยุทธนา | | ทั้งปืนผาครบเครื่องกระบวนพล
|
| หลวงภักดีขี่คอพลายจักรกรด | | ถือขอจดตั้งใจไม่ฉงน
|
| ตั้งขอขึงผึ่งผายหมายประจญ | | เหล่าพหลเดินทางข้างสัตว์โต
|
| ถึงกองจเรทัพอันดับมา | | ทหารหน้าท่วงทีเห็นดีโข
|
| สวมเสื้อดำเฉิดฉินดูภิญโญ | | ล้วนใส่หมวกกะโล่ผ้าขาวคลุม
|
| ตัวขุนสกลสารบาญจเรทัพ | | ขี่คอพลายประดับแก้วโกสุม
|
| ดูผายผึ่งขึงข้อมือขอกุม | | ก็ควบคุมเหล่าพหลพลฉกรรจ์
|
| ถึงกองซีเกร็ตตอรี่ที่เสมียน | | สำหรับเขียนหนังสือมือขยัน
|
| ใส่เสื้อริ้วทองสวยหมดด้วยกัน | | ดูเฉิดฉันแลพิศสนิทเนียน
|
| ขุนวิสูตร์เสนีขุนศรีกระดาลพล | | ทั้งสองคนขวาซ้ายนายเสมียน
|
| ตามยกกระบัตรจัดพลไม่วนเวียน | | ด้วยว่าเขียนฉลากไว้ปักไม้ราย
|
| แล้วถึงท่านขุนอินทรวิเชียรชาติ | | ขุนพรหมราชปัญญาโยธาหลาย
|
| ยังขุนศรภักดีมีอีกนาย | | ขุนสัจจวาทีรายอยู่รวมกัน
|
| ล้วนแต่คุมทหารกองด้านใน | | ขุนหมื่นไพร่ยกกระบัตรช่างจัดสรร
|
| เหล่าพหลล้นหลามมาครามครัน | | ล้วนถือมั่นอาวุธยุทธนา
|
| กองหลังถัดหลวงจัตุรงค์นั้น | | ขี่คอพลายกุมภัณฑ์คเชนทร์กล้า
|
| ดูท่วงทีองอาจประหลาดตา | | คุมโยธากองหลังตั้งกระบวน
|
| ขุนนราฤทธิไกรผู้ใจอาจ | | ขี่คอพลายสีประหลาดงามผาดผวน
|
| รูปขำคมสมทหารชำนาญทวน | | เห็นสมควรท่วงทีมีศักดา
|
| ขุนพิชัยชาญยุทธ์ก็สุดใจ | | ขี่คอพลายประลัยดูแกล้วกล้า
|
| สมควรเป็นกองหลังตั้งปีกกา | | อยู่เบื้องขวาเบื้องซ้ายเรียงรายกัน
|
| ท่านหลวงทรงศักดาก็กล้าหลาย | | ขี่ช้างพลายทองแดงเข้มแข็งขัน
|
| คุมทหารด้านนอกหอกทั้งนั้น | | ถือปืนสั้นใหญ่น้อยหลายร้อยคน
|
| ซึ่งขุนสัตยากรผ่อนลำเลียง | | กองเสบียงคุมกระบวนล้วนพหล
|
| ทั้งโคต่างช้างมีพร้อมรี้พล | | สำหรับขนจัดจบครบกระบวน
|
| ดูนายกองนายทัพอันดับมา | | พรรณนาจัดสรรไม่ผันผวน
|
| บ้างถือหอกพู่ขาวถือง้าวทวน | | ถือง้าวญวนถือตรีกระบี่ยาว ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นว่าได้พิชัยฤกษ์แล้ว | | ก็คลาดแคล้วโยธีเสียงมี่ฉาว
|
| ยิงปืนฤกษ์สัญญานัยน์ตาพราว | | สองหูร้าวด้วยเสียงสำเนียงปืน
|
| เสียงคนเดินราวกับเนินจะโทรมทรุด | | ดั่งมหาสมุทรเกิดลมคลื่น
|
| เหล่าทหารเริงร่าเฮฮาครืน | | เพียงพ่างพื้นธรณินแผ่นดินพัง
|
| ตัวฉันอยู่ท้ายช้างเหมือนอย่างเคย | | เฝ้าแหงนเงยเชยชมอารมณ์หวัง
|
| ดูเรือนบ้านรายเรียงเคียงประดัง | | เห็นคับคั่งคนดูอยู่ริมทาง
|
| คนแก่สาวนั่งเป็นหมู่ฉันดูทั่ว | | ล้วนรูปชั่วตัวดำปี๋เหมือนผีสาง
|
| ถึงที่ขาวดูเหมือนลาวไม่สำอาง | | เห็นรูปร่างป๋อหลอฉันงองัน ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงวัดแจ้งเห็นเขาแต่งประตูป่า | | ไว้คอยท่ากองทัพดูขับขัน
|
| ยายมดท้าวนั่งเคียงอยู่เรียงรัน | | คอยทำขวัญขับผีป่าหน้าประตู
|
| ยายคนหนึ่งตีโทนโยนจังหวะ | | เสียงจ้ะจ้ะตุ้มตุ้มฟังกลุ้มหู
|
| เครื่องสังเวยเรียงรายตัวยายครู | | ออกนั่งอยู่หน้าคนบ่นพึมพำ
|
| พอเจ้าคุณเดินมาถึงหน้าฉาน | | กรมการเรียนตามเนื้อความขำ
|
| เชิญเจ้าคุณลงช้างอย่างบุรำ | | โดยมีทำเนียมการเพศบ้านเมือง
|
| พอช้างเหยียบประทับเข้ากับเกย | | เจ้าคุณมิได้เฉยค่อยย่างเยื้อง
|
| ลงนั่งที่พรมปูดูชำเลือง | | เขาจะเปลื้องผีป่านั้นท่าไร
|
| ซึ่งยายมดบอกขยดให้เหยียดท้าว | | เอาด้วยขาวลากฟาดตวาดไล่
|
| แล้วผูกกรทำขวัญคุ้มกันภัย | | ก็เลยให้ศีลพรบทกลอนดี
|
| เสร็จสรรพเจ้าคุณขึ้นสู่ช้าง | | แล้วลีลามาในทางหว่างวิถี
|
| เข้าในประตูป่าไม่ราคี | | สองข้างมีสงฆะประน้ำมนต์ ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงโพธิ์กลางสองข้างมีโรงร้าน | | ขายโตกพานเชี่ยนขันและพรรณผล
|
| ทั้งของกินเครื่องใช้ฉันได้ยล | | เหล่าฝูงคนนั่งดูเป็นหมู่กัน
|
| เห็นตึกทาฝาแดงทุกแห่งหน | | หลังข้างบนมุงแฝกแปลกแปลกขัน
|
| ล้วนตึกดินดิบต่อมาก่อกัน | | ข้างฝ่ายชั้นล่างหลังคาเขาทาดิน
|
| ชมลูกสาวชาวโคราชไม่ผาดผิว | | ช่างขี้ริ้วไม่ตำหนิแกล้งติฉิน
|
| จะหายสวยสักคนไม่ยลยิน | | จนหมดสิ้นย่านทางโพธิ์กลางมา ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงสามสักยักแยกมาเบื้องซ้าย | | คนเรียงรายนั่งดูอยู่หนักหนา
|
| เห็นโรงผู้หญิงคนชั่วดูทั่วมา | | เหมือนหญิงข่าไม่น่ารักเลยสักคน
|
| มาประเดี๋ยววกเลี้ยวซ้ายมือแว้ง | | เห็นกำแพงโคราชสูงผาดโผน
|
| แม้นข้าศึกหมายจะมาประจญ | | ซึ่งจะปล้นเมืองได้เห็นไม่มี
|
| ด้วยกำแพงสูงมีสักสี่วา | | ดูแน่นหนาคึกคักเป็นศักดิ์ศรี
|
| ซึ่งข้างนอกกำแพงวุ้งแวงดี | | ล้วนแต่มีคูรอบขอบสีมา
|
| มีเชิงดินชั้นนอกห้าศอกสูง | | แม้นมีฝูงปรปักษ์เรารักษา
|
| เพียงเชิงเทินชั้นนอกออกประดา | | ศัตรูอย่าเข้าไปถึงในคู
|
| เมืองโคราชกว้างใหญ่มิใช่น้อย | | ข้าศึกเพียงสิบร้อยเห็นพอสู้
|
| เมืองใหญ่โตทำไมมีสี่ประตู | | หอรบอยู่ข้างบนชอบกลดี ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงทำเนียบค่ายพักสำนักอยู่ | | ด่านประตูท่าน้ำทำถ้วนถี่
|
| อยู่ริมกับอารามสามัคคี | | ทำเนียบมีเขื่อนค่ายปลูกรายเรียง
|
| สำหรับเจ้าคุณมีสี่ห้าหลัง | | พร้อมหอนั่งเรือกรั้วครัวเฉลียง
|
| ทิมทหารรอบล้อมดูพร้อมเพรียง | | แถวระเบียงหอนั่งตั้งนอกชาน
|
| ที่ลูกทัพนายกองเสร็จเจ็ดแปดหลัง | | มีพร้อมพรั่งโรงยาวเหล่าทหาร
|
| ข้างเจ้าคุณเทียบเกยไม่เลยนาน | | กรมการคอยรับคำนับพลัน
|
| ทหารปืนยืนรายทั้งซ้ายขวา | | ทหารหน้าหทารหลังช่างขยัน
|
| นายใหญ่บอกปรีเซนต์เป็นสำคัญ | | ก็พร้อมกันยกปืนยืนคำนับ
|
| เจ้าคุณค่อยประจงลงจากเกย | | แล้วก็เลยขึ้นหอนั่งยั้งสดับ
|
| กรมการพร้อมพรั่งมาคั่งคับ | | นั่งคอยรับบัญชาพร้อมหน้ากัน
|
| พอหยุดพักอยู่นั่นสองวันครบ | | เจ้าพระยาปรารภจะผายผัน
|
| นายทัพนายกองมาพร้อมหน้ากัน | | ไปอภิวันท์เทพารักษ์เจ้าหลักเมือง
|
| พร้อมนายทัพนายกองมาซ้องแซ่ | | ท่านเจ้าคุณขี่แคร่ไม้ลายเหลือง
|
| พร้อมนายทัพนายกองตามนองเนือง | | เสร็จย่างเยื้องเข้าไปในประตู
|
| ครั้นถึงศาลอารักษ์พระหลักเมือง | | พร้อมด้วยเครื่องบูชาไก่ปลาหมู
|
| ทั้งบายศรีซ้ายขวาน่าเอ็นดู | | เสร็จแล้วบูชาเจ้าทั้งเหล้ายา
|
| แล้วเรียกคนขลุ่ยกลองกระบองควง | | แกว่งบวงสรวงอารักษ์เป็นหนักหนา
|
| ทั้งต่อยมวยรำละครฟ้อนบูชา | | พิณพาทย์สาธุการประสานตี
|
| ครั้นเสร็จสรรพก็กลับมาทำเนียบ | | ไม่เงียบเชียบต่างเปรมเกษมศรี
|
| ฝูงพหลพลนิกายสบายดี | | บห่อนมีเจ็บป่วยพร้อมด้วยกัน ฯ
|
|
|
| ๏ เมื่อวันหนึ่งเจ้าคุณจึ่งออกจากหอนั่ง | | พร้อมสะพรั่งนายพหลพลขันธ์
|
| จึ่งปรึกษาไต่ถามเนื้อความพลัน | | ว่าวันนั้นเข้าไปที่ในเมือง
|
| เห็นเจดีย์องค์ใหญ่ในวัดกลาง | | ทำลายร้างอยากบำรุงให้ฟุ้งเฟื่อง
|
| จึงหันหน้าปรึกษาท่านเจ้าเมือง | | ก็พูดเยื้องชักเชือนบิดเบือนไป
|
| เพราะว่าในเมืองนี้สุดที่คิด | | ด้วยปูนอิฐไม่มีอยู่ที่ไหน
|
| เจ้าคุณฟังยุบลเป็นจนใจ | | ก็มิได้ตอบความตามยุบล
|
| เจ้าพระยาจอมนิกรอาวรณ์ตรึก | | การทัพศึกสารพัดจะขัดสน
|
| ไม่ทราบเรื่องหนองคายร้ายกังวล | | ต้องแต่งคนไปสืบตามความระแวง
|
| จึงให้ท่านขุนวิสูตร์เสนี | | นายซีเกร็ตตอรี่คนเข้มเข็ง
|
| ไปสืบการหนองคายที่ร้ายแรง | | มาให้แจ้งข้อความตามกระบวน
|
| ให้ขุนพินิจนิกรนั้นไปด้วย | | จะได้ช่วยกันลอบไปสอบสวน
|
| กับนายทัตคนลาวชาวเมืองพวน | | รู้ถี่ถ้วนนำร่องไปหนองคาย
|
| ให้ขุนสัตยากรไปขอนแก่น | | สืบให้แม่นอย่าให้เฟือนในเงื่อนสาย
|
| กับอุปฮาดไปช่วยด้วยอีกนาย | | ซึ่งแยบคายขอนแก่นคงแม่นยำ
|
| เป็นอุปฮาดอยู่ก่อนเมืองขอนแก่น | | ในแว่นแคว้นไล่เลียงไม่เพลียงผลำ
|
| ควรให้ไปสืบส่อเอาข้อคำ | | เพราะว่าชำนาญใจในหนทาง
|
| แล้วสั่งเบิกช้างให้ใส่เสบียง | | ให้พอเพียงสารพัดไม่ขัดขวาง
|
| ทั้งเงินทองจัดให้ไปใช้พลาง | | กระโจมข้างเลือกคัดดูจัดเอา
|
| ขึ้นหกค่ำเดือนอ้ายห้านายนั้น | | กำหนดวันที่จะไปมิได้เศร้า
|
| ออกจากที่ตนพักสำนักเนา | | ไปตามเจ้าคุณบัญชาไม่ช้าวัน ฯ
|
|
|
| ๏ ถึง ณ วันเดือนอ้ายขึ้นแปดค่ำ | | ได้จดจำแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์
|
| เห็นผู้คนช้างม้าลงมาพลัน | | พระวิชิตณรงค์นั้นคุมฮ่อมา
|
| พวกกองทัพรู้จริงบ้างวิ่งสอ | | มาดูฮ่อพร้อมพรักคนหนักหนา
|
| อ้ายพวกฮ่อใส่คอตะโหงกคา | | คนรักษาเดินกลุ้มคอยคุมตัว
|
| เจ้าพวกฮ่อเหล่านี้ล้วนขี่แคร่ | | เจ้าพวกลาวหามแย่ยิ่งเจ้าสัว
|
| กองทัพฝ่ายเราว่าไม่น่ากลัว | | ตัวต่อตัวแล้วไม่หนีฟันตีกัน
|
| บ้างว่าฮ่อรูปนี้กระจิริด | | สักสามคนก็ไม่คิดจะพรึงพรั่น
|
| ไม่มีจิตคร้ามกลัวเห็นตัวมัน | | ต่างคนสันต์สรวลเสเสียงเฮฮา ฯ
|
|
|
| ๏ ท่านเจ้าคุณให้ไปขอฮ่อมาถาม | | ให้คนล่ามมั่นคงส่งภาษา
|
| นายเสมียนเขียนความตามบัญชา | | ฮ่อหนึ่งมาให้ความตามกระบวน
|
| ว่าเป็นจีนเกิดยังเมืองกวางตุ้ง | | ใจมาดมุ่งเลี้ยงชีวิตไม่ผิดผวน
|
| มาค้าขายในเขตประเทศญวน | | ไปเมืองพวนแล้วเยื้องไปเมืองลา
|
| ก็หากินโดยยุติสุจริต | | เลี้ยงชีวิตมุ่งหมายขายของป่า
|
| อ้ายพวกฮ่อยกทัพจับเอามา | | จนเวลาทัพไทยไปเอาตัว
|
| จีนล่ามถามต่อฮ่อคนไหน | | มันชี้ใส่ว่าคนนั้นไม่ผันผวน
|
| คนนั้นว่าข้าเป็นลาวชาวเมืองพวน | | ให้การล้วนข้อรับจับเอามา
|
| นี่ก็เจ๊กนั่นก็ลาวชาวเมืองพวน | | โน่นก็ญวนนุงนังน่ากังขา
|
| ให้ล่ามถามทั้งหมดจดวาจา | | เที่ยวถามหาฮ่อคนไหนมิได้มี
|
| ก็มิได้จดจำคำทั้งหลาย | | ครั้นบ่ายชายแสงพระสุริยศรี
|
| สักห้าโมงสังเกตเศษนาที | | ตราพระราชสีห์มีขึ้นมา
|
| จึ่งประชุมลูกทัพนายกองพร้อม | | มานั่งล้อมเรียงรายทั้งซ้ายขวา
|
| ฉันผนึกออกอ่านซึ่งสารตรา | | แจ้งกิจจาโดยความตามคดี
|
| ในบังคับกองทัพให้ยับยั้ง | | รอคอยฟังเหตุการณ์ตามสารศรี
|
| อยู่นครราชเสมาอย่าช้าที | | แล้วห้ามมิให้เยื้องไปเมืองบน
|
| อ้ายพวกฮ่อนั้นยังก่อรังแก | | หรือพ่ายแพ้สืบให้แจ้งทุกแห่งหน
|
| จักนายทัพนายกองสักสองคน | | ที่ชอบกลเป็นผู้ใหญ่เข้าใจการ
|
| ไปสืบเรื่องเมืองหนองคายจะร้ายดี | | ยังเหลือมีข้าศึกที่ฮึกหาญ
|
| แม้นกองทัพหลวงพระบางทางเชียงคาน | | จะเข้าราญรอนประจญตำบลไร
|
| มีหนังสือรีบรัดมานัดหมาย | | จงผันผายขึ้นไปช่วยด้วยจงได้
|
| ตระเตรียมยกซึ่งพหลพลไกร | | รีบขึ้นไปอย่าให้ขาดราชการ ฯ
|
|
|
| ๏ เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ้ง | | ประดิษฐ์แต่งความตอบระบอบสาร
|
| โดยถ้วนถี่สารพัดไม่ทัดทาน | | แล้วส่งเจ้าพนักงานให้ถือมา
|
| ครั้นสำเร็จเสร็จพร้อมจอมพหล | | จึ่งแต่งคนนึกมองตรึกตรองหา
|
| จะได้ผู้ใดดีมีปัญญา | | สืบกิจจาหนองคายเอารายงาน
|
| จะต้องทำตามดั่งข้อบังคับ | | จึ่งปรึกษานายทัพนายทหาร
|
| จะได้ใครไปดีที่ชำนาญ | | ไปสืบการหนองคายคือนายใด
|
| เห็นแต่ว่าพระยาพิชิตณรงค์ | | ค่อยมั่นคงจะเห็นเป็นไฉน
|
| นายทัพคำนับน้อมต่างพร้อมใจ | | คนอื่นไปไม่เสร็จสำเร็จมา
|
| ท่านเจ้าคุณอารีท่านมีจิต | | พระยาวิชิตณรงค์นั้นหนักหนา
|
| จึ่งจัดเสบียงให้ใจเมตตา | | อีกทั้งผ้าขนยาวห่มหนาวนอน
|
| พระยาวิชิตณรงค์บรรจงรับ | | น้อมคำนับด้วยศิโรสโมสร
|
| แล้วหมอบราบกราบก้มประนมกร | | กล่าวสุนทรโดยความตามอัชฌา
|
| ขอขุนนราฤทธิไกรนั้นไปด้วย | | แม้นเจ็บป่วยได้พิทักษ์ช่วยรักษา
|
| เป็นวงศ์วานหลานชิดสนิทมา | | พอเห็นหน้าเพื่อนไปในหนทาง
|
| เจ้าพระยาอนุญาตตามคาดหมาย | | กล่าวอถิปรายตามสัตย์ไม่ขัดขวาง
|
| มิได้มีแหนงจิตคิดระคาง | | ด้วยไว้วางใจแท้เห็นแน่นอน
|
| พระยาวิชิตณรงค์ประสงค์สม | | ตามนิยมภิญโญสโมสร
|
| เสร็จจะลาคลาไคลครรไลจร | | มาที่ผ่อนเคยพักสำนักตน ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้น ณ เดือนอ้ายขึ้นสามค่ำ | | เป็นวันกำหนดฤกษ์เลิกพหล
|
| พระยาวิชิตณรงค์ไม่วงวน | | ก็กรีพลมาดหมาดหนองคายพลัน
|
| เดินเป็นกระบวนมาหน้าทำเนียบ | | ดูเรียงเรียบเหล่าพหลพลขันธ์
|
| ขุนนราฤทธิไกรใจฉกรรจ์ | | ก็ผายผันตามไปในกระบวน
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง | | เสร็จส่งกองทัพขันธ์ไม่ผันผวน ฯ
|
|
|
| ๏ เมื่อวันหนึ่งฟั่นเฟือนจำเคลื่อนคลาด | | เจ้าเมืองอุปฮาดเข้าผายผัน
|
| เอาม้าแดงช้างดำมากำนัล | | อุปฮาดเมืองสุวรรณภูมิมา
|
| หลวงสารสิทธิ์ผู้นำเข้าคำนับ | | ท่านเจ้าคุณออกรับด้วยหรรษา
|
| ซึ่งช้างม้าที่มาให้ไม่นำพา | | เป็นแต่ว่าขอบใจที่ให้เรา
|
| ท่านคืนช้างม้าไปให้เจ้าของ | | ไม่หมายปองอยากได้ของใครเปล่า
|
| ถึงว่าของสิ่งไรท่านไม่เอา | | แม้นที่เหล่าคนชอบรับตอบแทน
|
| ซึ่งกองทัพตั้งแต่มาหลายราตรี | | เหล่าโยธีบ้างเป็นสุขบ้างทุกข์แสน
|
| ด้วยไข้คงติดมาในป่าแดน | | ดูหนาแน่นชุกชุมตายสุมไป
|
| บางคนไม่ตายหายมีแรง | | กินของผิดสำแลงก็ตักษัย
|
| บ้างกินกล้วยน้ำว้าพุทราไป | | แต่พอใส่ถึงคอชักงองัน
|
| บ้างก็กินลูกสมองอก่อม้วย | | บ้างกินกล้วยอ้อยแล้วอาสัญ
|
| กินของสิ้นชีวิตผิดผิดกัน | | ฝูงคนบรรลัยรุมชุมสุดใจ
|
| ได้มีบัญชีนามจดตามเหตุ | | คนร้อยยี่สิบเศษม้วยตักษัย
|
| ตั้งแต่ยกหมายมุ่งจากกรุงไกร | | คนตายได้ร้อยเศษสังเกตจำ
|
| ซึ่งตัวฉันหฤทัยหัวใจสะท้อน | | เห็นคนนอนครางอยู่ดูออกสำ
|
| คิดถึงตัวกลัวตายกายระกำ | | เฝ้าแต่ร่ำโหยไห้อาลัยวอน
|
| ยามหนึ่งคิดถึงตัวกลัวความไข้ | | ยามสองให้คะนึงถึงสมร
|
| ยามสามคิดรำคาญถึงมารดร | | ยามสี่นอนคิดถึงญาติแทบขาดใจ
|
| เป็นอย่างนี้เจียวฉันทุกวันคืน | | บ่มีชื่นเศร้าหมองไม่ผ่องใส
|
| โศกถึงมิตรคิดถึงญาติแทบขาดใจ | | เหลือหทัยที่ทุกข์คงจุกตาย
|
| แสนระกำช้ำกายเสียดายโฉม | | เสียดายเชยเคยประโลมไม่ห่างหาย
|
| ไม่ห่างเหเสน่ห์นุชจะหยุดอาย | | จะหยุดเว้นเป็นอย่าหมายว่าจักมี
|
| ว่าจะม้วยเสียด้วยเพราะความเศร้า | | เพราะความโศกโรคเร้าหม่นหมองศรี
|
| หม่นหมองทรวงโอ้แม่ดวงสุมาลี | | สุมาลัยของพี่อย่าไกลตา
|
| อยู่ใกล้ตัวเพราะผัวมาห่างห้อง | | มาห่างเห็นเว้นน้องไห้โหยหา
|
| ไห้โหยหวนครวญคร่ำไม่นำพา | | ไม่น่าพึ่งหนึ่งว่าจำใจจร
|
| โอ้อกเอ๋ยเคยแอบประคองอุ่น | | หอมกลิ่นกรุ่นสาเรแก้วเกสร
|
| เสียดายดวงพวงพุ่มอุทุมพร | | มาไกลกรมิได้กอดประคองเชย
|
| สงสารสร้อยเสาวคนธ์จะมลหมอง | | จะเฝ้าร้องไห้หานิจจาเอ๋ย
|
| ใครจะช่วยปลอบปลื้มให้ลืมเลย | | เหมือนพี่เคยประคองน้องนิทรา
|
| เวลาดึกตรึกตรองถึงน้องสาว | | อนาถหนาวเนื้อหนังเย็นมังสา
|
| เมืองโคราชเหลือล้นพ้นปัญญา | | หนาวยิ่งกว่าบางกอกยอกทั้งตัว
|
| ห่มผ้าปิดเหมือนหนึ่งว่าห่มผ้าเปียก | | มันเย็นเยียกหนาวยวดจนปวดหัว
|
| หนาวอัปรีย์หนาวระยำพอค่ำมัว | | มันเย็นทั่วสารพางค์นอนครางฮือ
|
| ต้องสวมเสื้อสามชั้นไว้กันหนาว | | ทั้งถุงเท้าเกือกซื้อลงนอนซื่อ
|
| กางเกงสามชั้นนุ่งสวมถุงมือ | | ตัวหนักตื้อหมวกผ้าปิดหน้าตึง
|
| แต่อย่างนั้นไม่กันความหนาวได้ | | มันหนาวในตับปอดตลอดถึง
|
| ผ้าห่มสุมคลุมซ้อนนอนตะบึง | | คิดรำพึงใจอนาถไม่คลาดคลาย
|
|
|
| [กลอนตรงนี้สัมผัสขาด]
|
|
|
| ถ้ารู้ที่ว่าไม่มีข้าศึกรบ | | คงหาครบซื้อสรรค์เครื่องกันหนาว
|
| หมายจะได้ชิงชัยกันใหญ่ยาว | | จนถึงคราวฉุกเฉินคิดเกินไป
|
| ด้วยกลัวว่าผ้าเสื้อจะเหลือมือ | | จึ่งหาซื้อจัดหาเอามาไม่
|
| ถ้าแม้นว่ารู้แท้เป็นแน่ใจ | | ว่าพวกไอ้สลัดบกมันยกมา
|
| เที่ยวปอกลอกทองพระไปถลุง | | การรบพุ่งห่สู้จักจะหนักหน้า
|
| ซึ่งเครื่องหนาวสารพัดได้จัดมา | | ไม่ซื้อหาก็เพราะการประมาณเกิน
|
| บุญคุณคิดขุนสนิทอักษรนุ่ม | | ให้เครื่องคุ้มกันหนาวเมื่อคราวเฉิน
|
| ขอให้เขาสวัสดีมีจำเริญ | | สรรเสริญคุณเขาทุกเช้าเย็น
|
| ป้องกันหนาวนอกเนื้อเขาเกื้อหนุน | | เพราะบุญคุณพ่อนุ่มพอคุ้มเข็ญ
|
| แต่น้ำจิตมิได้วายคลายลำเค็ญ | | บ่วางเว้นมีสุขเฝ้าทุกข์ทน ฯ
|
|
|
| ๏ ฝ่ายเจ้าพระยาแม่ทัพเมื่อยับยั้ง | | ท่านก็ตั้งปรารถนาหากุศล
|
| ด้วยศึกเสือนั้นไม่มีพักรี้พล | | ชักชวนคนก่อสร้างทางนิพพาน
|
| เจดีย์ใหญ่วัดกลางร้างชำรุด | | ยังโทรมทรุดล้มทอดตลอดฐาน
|
| ไม่มีใครศรัทธาล้มมานาน | | จะประมาณนับยิบหลายสิบปี
|
| ท่านเจ้าคุณมีใจอยากใคร่สร้าง | | พระเจดีย์วัดกลางเป็นศักดิ์ศรี
|
| จะซื้ออิฐปูนใครที่ไหนมี | | ไม่รู้ที่แห่งหนตำบลเลย
|
| ท่านก็เที่ยวสืบถามตามชาวบ้าน | | ด้วยหวังการจริงจริงไม่นิ่งเฉย
|
| เฝ้าสืบเสาะหาแห่งตำแหน่งเคย | | ท่าภิเปรยถามไถ่มิได้วาย
|
| จิตศรัทธาอาจิณไม่สิ้นสูญ | | ครั้นอิฐปูนได้สมอารมณ์หมาย
|
| มีผู้มาบอกแจ้งไม่แพร่งพราย | | ว่ามากหลายบริบูรณ์อิฐปูนมี
|
| อยู่ถึงทางหนองกะบกวัดโคกพรม | | อิฐเผารมแก่ไฟงามได้สี
|
| เจ้าคุณทราบระบิลแสนยินดี | | จึงป่าวร้องโยธีทุกหมวดกอง
|
| บอกคุณเหล่าพหลไปขนอิฐ | | ต่างคนคิดยินดีไม่มีหมอง
|
| คานสาแหรกจัดไว้ใส่สำรอง | | ต่างคนปองเอาบุญไม่ขุ่นเคือง ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นแรมสิบสามค่ำ ณ เดือนอ้าย | | เวลางายสุริยาส่องฟ้าเหลือง
|
| พวกกองทัพโห่ร้องไปนองเนือง | | ทั้งชาวเมืองพลอยไปอยากได้บุญ
|
| บ้างก็หาบก็หามตามถนัด | | ล้วนแต่ศรัทธาชื่นทั้งหมื่นขุน
|
| ไม่ว่าไพร่ผู้ดีมีสกุล | | ชุลมุนแบกอิฐไม่คิดอาย
|
| พวกกองทัพชาวเมืองขนเนืองแน่น | | ยกอิฐแผ่นใส่บ่าแบกหน้าหงาย
|
| ล้วนแต่งตัวกรุ้งกริ้งทั้งหญิงชาย | | ทั้งสาวแส้แม่หม้ายก็มีมา
|
| ล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดกัน | | ห่มสีสันสุกแสงออกแดงจ้า
|
| ทั้งพระเถรเณรชีมีศรัทธา | | สู้อุตส่าห์ขนอิฐน้ำจิตทน
|
| ทั้งเกวียนล้อโคลากไปมากหลาย | | ดูเรียงรายเต็มหลามตามถนน
|
| ทั้งแรงโคแรงควายนิกายพล | | ไปหาบขนอิฐแผ่นแน่นหนทาง
|
| ล้วนสรวลสันต์บันเทิงระเริงรื่น | | เฮฮาครืนมิได้อายระคายหมาง
|
| ทั้งเจ๊กไทยมอญลาวสาวสำอาง | | ขนอิฐมาวัดกลางดูเกรียวกราว
|
| คนชาวเมืองพร้อมใจทั้งไทยจีน | | ออกทรัพย์สินซื้ออาหารข้าวสารขาว
|
| ต้มเลี้ยงคนขนอิฐด้วยคิดยาว | | ทั้งของคาวหวานเค็มเต็มศรัทธา
|
| สองวันเสร็จลงมือรื้อจับขุด | | ด้วยของเก่าชำรุดอยู่หนักหนา
|
| พบกรุซึ่งบรรจุของนานา | | ทั้งรูปพระปฏิมาเงินทองคำ
|
| จึงเอาพระเงินทองของบุราณ | | มอบให้พระอธิการอุปถัมภ์
|
| จงเก็บให้มิดชิดปกปิดงำ | | แล้วให้ทำที่กรุบรรจุลง ฯ
|
|
|
| ๏ เจ้าพระยาจอมทัพจะจับงาน | | แล้วตรึกการโดยจิตคิดประสงค์
|
| ในบาลีมีตามเนื้อความตรง | | พระพุทธองค์บัญญัติอธิบาย
|
| ว่าผู้ใดจะสร้างทางกุศล | | ไม่ป่าวร้องฝูงคนสิ้นทั้งหลาย
|
| แม้นว่าใครศรัทธาเอกากาย | | ไม่ป่าวร้องหญิงชายประชาชน
|
| ได้แต่โภคสมบัติพัสถาน | | บริวารสมบัตินั้นขัดสน
|
| แม้นป่าวร้องนำจูงเหล่าฝูงคน | | บันดาลดลพบพ้องสองศฤงคาร
|
| ท่านคิดเห็นโดยงามตามทำนอง | | จึ่งป่าวร้องทั่วประเทศเขตสถาน
|
| ราษฎรชาวนิคมกรมการ | | จังหวัดบ้านเมืองโคราชประกาศไป
|
| ให้ปราศจากอามิสมาติดเทียน | | ตามทำเนียมโดยศรัทธาอัชฌาสัย
|
| กำหนดนัดความแจ้งไม่แคลงใจ | | ให้มาในวัดกลางสร้างศรัทธา ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นวันขึ้นสิบสองค่ำจำคดี | | ในเดือนยี่สัจจังไม่กังขา
|
| ตะวันบ่ายชายแสงพระสุริยา | | เป็นเวลากำหนดที่จะมีการ
|
| ฝ่ายท่านเจ้าพระยาจอมพหล | | เชิญพระทนต์พระจอมเกล้าเจ้าสถาน
|
| พร้อมด้วยเหล่ากระบวนแห่แลละลาน | | ไปมีงานสมโภชใหญ่ในวัดกลาง
|
| นิมนต์สงฆ์ทั่วประเทศเขตนคร | | มาสดับปกรณ์ตามแบบอย่าง
|
| เหล่าพระสงฆ์ดีใจไม่ระคาง | | ถึงหนทางไกลนั้นไม่พรั่นพรึง
|
| พระชราฐานาสมภารวัด | | ก็แต่งจัดเหล่าพระครูไว้หมู่หนึ่ง
|
| ถวายปัจจัยถ้วนล้วนตำลึง | | พระสงฆ์ซึ่งลูกวัดไว้ถัดรอง
|
| ถวายปัจจัยงามตามทำเนียม | | พระสงฆ์เปี่ยมยินดีไม่มีสอง
|
| นิมนต์หมดบ้านเมืองมาเนืองนอง | | ได้รับของไทยทานสำราญใจ ฯ
|
|
|
| ๏ ฝ่ายเจ้าจอมโยธามีปราโมทย์ | | ท่านสมโภชพระทนต์พ้นวิสัย
|
| จัดเหล่าพวกกองทัพโดยฉับไว | | มาเล่นโขนโรงใหญ่ได้อย่างดี
|
| พร้อมทั้งเครื่องเรืองรองทองระยับ | | สร้างเสร็จสรรพงามงดแสงสดสี
|
| ทั้งโรงโขนใหญ่ปลูกผูกคิรี | | โตยาวมีกว้างขวางสำอางตา
|
| โขนเล่นเรื่องก่อนวันนอนโรง | | เล่นพิธีอุโมงค์ดีหนักหนา
|
| ครั้นว่าดึกสองยามตามสัญญา | | ก็เลิกลาโรงกลับมาหลับนอน ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นว่ารุ่งสุริยาท้องฟ้าแดง | | ก็เตรียมแต่งกระบวนแห่แลสลอน
|
| เชิญพระบรมทนต์เสร็จเสด็จจร | | ไปสดับปกรณ์อีกเวลา
|
| โขนก็เล่นตามเรื่องแต่เบื้องหลัง | | เมื่อวิรุญจำบังออกอาสา
|
| พวกคนดูพรูพรั่งประดังมา | | คนชราแก่สาวมากราวกรู
|
| ชาวบ้านนอกขอกนามาออกฮือ | | แจ้งข่าวลือแน่ใจไม่ไขหู
|
| หนทางเดินสองคืนตื่นมาดู | | เพราะไม่รู้จักโขนโยนอย่างไร
|
| คนชราอายุเจ็ดสิบเลย | | ยังไม่เคยดูเห็นเป็นไฉน
|
| บ้างหาเสบียงอาหารด้วยบ้านไกล | | ล้วนตั้งใจมาดูออกกรูเกรียว
|
| ล้วนสาวสาวชาวป่าก็มาสิ้น | | ทาขมิ้นล้นเหลือจนเนื้อเขียว
|
| อยากดูโขนอย่างยิ่งจริงจริงเจียว | | บ้างจูงเหนี่ยวลูกหลานมาลานลน
|
| สัปปุรุษคั่งคับออกทรัพย์สิน | | ติดข้าวบิณฑ์เบี้ยศรัทธาหากุศล
|
| เข้าส่วนสร้างพระเจดีย์ตามมีจน | | ออกสับสนตั้งจิตมาติดเทียน
|
| ครั้นเล่นโขนถ้วนตามครบสามวัน | | รวมเงินพันบาทมีบัญชีเขียน
|
| สัปปุรุษมาพร้อมน้อมจำเนียร | | เงินติดเทียนที่วัดล้วนศรัทธา
|
| จึงได้เงินพันบาทยังขาดไป | | พระเจดีย์องค์ใหญ่เป็นหนักหนา
|
| แต่โดยสูงถึงเส้นนับเป็นวา | | เจ้าพระยาจอมทัพรับออกทุน
|
| แม้นเงินใช้ไม่พอก่อเจดีย์ | | ท่านรับเป็นกงสีออกเกื้อหนุน
|
| สร้างเจดียฐานเป็นการบุญ | | ท่านเจ้าคุณรับสำเร็จโดยเสร็จการ ฯ
|
|
|
| ๏ แรมสิบเอ็ดมิได้เคลื่อนในเดือนยี่ | | ขุนวิสูตรเสนีสืบข่าวสาร
|
| ที่ไปเมืองหนองคายเอารายงาน | | แจ้งราชการข่าวทัพแล้วกลับมา
|
| เขากราบเรียนพณะหัวจอมพหล | | โดยเหตุผลที่สัจจังไม่กังขา
|
| แล้วนำคนชาวเวียงชื่อเชียงทา | | เป็นหลวงราชรักษาสุเรนทร
|
| ท่านเจ้าคุณออกยังหอนั่งรับ | | เหล่านายทัพพร้อมพรั่งนั่งสลอน
|
| ทั้งกรมการนายทัพคำนับกร | | หลวงราชสุเรนทรก็ให้การ
|
| ว่าเดิมพวกอ้ายฮ่อมาก่อเหตุ | | ในประเทศราชทำอาจหาญ
|
| ทั้งจีนลาวญวนสมทบเข้ารบราญ | | คนประมาณหลายร้อยไม่น้อยตัว
|
| เหล่าพวกลาวยั่นฮ่อไม่ต่อสู้ | | ต้องเข้าทูเงินเสียทั้งเมียผัว
|
| ที่ไม่มีเงินให้มีใจกลัว | | เหมือนควายวัวยอมให้ฮ่อใช้การ
|
| อ้ายฮ่อเก็บเงินทั่วทุกครัวลาว | | เรือนละเก้าหกเจ็ดตำลึงหวาน
|
| ฮ่อเขียนหนังสือให้ใส่กระดาน | | เรียงว่าไม้บางบ้านสำหรับตัว
|
| พวกฮ่อเห็นหนังสือลงชื่อเขียน | | ไม่เบียดเบียนคิดยั่นมันสั่นหัว
|
| ไม่คุมเหงคะเนงร้ายเกรงนายกลัว | | ตลอดทั่วบ้านลาวพวกเข้าทู
|
| อ้ายพวกฮ่อเรียงรายตั้งค่ายมั่น | | ย่อมแข็งขันยิ่งยวดเป็นหมวดหมู่
|
| ไม้ระเนียดเรียงรายทำค่ายคู | | มันตั้งอยู่มากมายหลายตำบล
|
| ราชบุตรหนองคายนั้นใช้ข้า | | ไปสืบซึ่งกิจจาเอาเหตุผล
|
| ข้าก็จะสืบตามไปสามคน | | ลอบไปจนแจ้งความตามกระบวน
|
| กลับมาบอกอุปฮาดราชบุตร | | จนสิ้นสุดที่ได้ลอบไปสอบสวน
|
| บัดนี้ทัพอ้ายฮ่อที่ก่อกวน | | มันเกือบจวนยกปองมาหนองคาย
|
| ในวันนั้นคืนนั้นมันจะมา | | ซึ่งตัวข้ารู้หมดกำหนดหมาย
|
| ราชบุตรรู้แจ้งไม่แพร่งพราย | | เกณฑ์พหลพลนิกายหัวเมืองมา
|
| เกณฑ์คนเก้าร้อยไว้ไม่ได้ครบ | | ได้พลรบสามร้อยน้อยหนักหนา
|
| ราชวงศ์ราชบุตรสุดปัญญา | | ก็ตรึกตราการสู้หมู่ไพรี
|
| ครั้นลาวมากอยู่ข้างฟากเวียงจันท์เก่า | | ต้อนให้เข้าเมืองหนองคายกลัวนายหนี
|
| แล้วเก็บชายฉกรรจ์บรรดามี | | แล้วซ้อมสีข้าวลำเลียงเสบียงพล
|
| บ้านละสิบหยิบเอาห้ารักษาครัว | | ล้วนมีตัวส่งลำเลียงเลี้ยงพหล
|
| ราชบุตรจัดโยธีที่มีตน | | แล้วยกพลข้ามฟากไปปากทาง
|
| ตั้งคอยรับทัพฮ่อไม่ย่อยั่น | | หาที่มั่นตั้งท่าปีกกากว้าง
|
| จัดคนรักษาการในด่านทาง | | แล้วไว้วางกองซ่อนคอยรอนราญ
|
| ครั้นเดือนแปดแรมสี่ค่ำได้จำข้อ | | พวกอ้ายฮ่อพร้อมพรักเข้าหักหาญ
|
| ได้รบราฆ่าฟันประจัญบาน | | ลาวต้านทานทัพฮ่อไม่รอรา
|
| ราชวงศ์ยกหลีกตีปีกซ้าย | | ราชบุตรยักย้ายตีปีกขวา
|
| พวกอ้ายฮ่อยิงปืนโครมครืนมา | | ช้างพลายกล้าต้องปืนวิ่งตื่นไป
|
| คือว่าช้าวผู้ช่วยเมืองหนองคาย | | เป็นน้องชายราชบุตรฉุดไม่ไหว
|
| ช้างพลายกล้าต้องปืนตื่นตกใจ | | ลงขอไม่ยั่งยืนตื่นกระจาย
|
| ซึ่งกองทัพราชบุตรไม่หยุดแยก | | ก็วิ่งแตกหลบลี้บ้างหนีหาย
|
| เหล่าไพร่พลซานซมบ้างล้มตาย | | ก็แตกพ่ายหนีฮ่อไม่ต่อกร
|
| ทัพฮ่อบากละจากราชบุตร | | เข้ายงยุทธราชวงศ์ตรงไม่ถอน
|
| อาวุธสั้นเข้ารุมตะลุมบอน | | ฮ่อตีต้อนล้อมรอบเป็นขอบคัน
|
| กองราชวงศ์เจ้าเมืองหงสาสถิต | | สิ้นชีวิตสูญชีวาถึงอาสัญ
|
| ตายอยู่ในที่รบได้พบกัน | | ไพร่พลนั้นล้มตายวายชีวี
|
| ราชวงศ์เหลือกำลังก็พังแยก | | ลาวตื่นแตกข้ามลำแม่น้ำหนี
|
| พลลาวยั่นพรั่นฮ่อไม่ต่อตี | | ต่างหลบหนีข้างของมาหนองคาย
|
| ราชบุตรสุดท้ออ้ายฮ่อมาก | | จะข้ามฟากมาได้ดั่งใจหมาย
|
| ไพร่พลเรายับย่อยเหลือน้อยกาย | | จึ่งยักย้ายผ่อนครัวทั่วทุกกอง
|
| มาพักไว้หนองหาญติดการต่อ | | แต่งคนยอกำลังเมืองทั้งสอง
|
| ให้มาช่วยสงครามตามทำนอง | | ได้รับรองทัพฮ่อพอประทัง
|
| ครั้นได้ทัพขอนแก่นเมืองภูเวียง | | มาพร้อมเพรียงโดยสมอารมณ์หวัง
|
| ราชบุตรดีใจได้กำลัง | | จึงคิดตั้งรักษาอยู่หน้าเมือง
|
| แล้วต้อนครัวลาวที่หนีเข้าป่า | | ให้เข้ามาคืนถิ่นเสร็จสิ้นเรื่อง
|
| ราชบุตรจัดการในบ้านเมือง | | มิให้เคืองขุ่นใจแก่ไพร่พล ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นเจ้าเมืองหนองคายผายผันกลับ | | ถึงเสร็จสรรพโยธาเหล่าพหล
|
| กลับมาแต่ฝ่ายเบื้องเมืองอุบล | | ก็จัดคนขึ้นรักษาหน้าเชิงเทิน
|
| พวกหนึ่งถูกให้ไปปลูกทำเนียบคอย | | ที่ทุ่งโพนช้างน้อยการฉุกเฉิน
|
| รับพระยามหาอำมาตย์ไม่ขาดเกิน | | การไม่เนิ่นจวนเวลาไม่ช้านาน
|
| แล้วขับต้อนลาวครัวทั่วทั้งสิ้น | | ให้คืนถิ่นตามตำแหน่งแห่งสถาน
|
| มาสีข้าวไว้อย่าขาดราชการ | | ทำข้าวสารมามายไว้จ่ายคน
|
| เมื่อวันหนึ่งพระยามหาอำมาตย์ | | หัวเมืองอื่นดื่นดาษมาสับสน
|
| เสร็จถึงเมืองหนองคายพร้อมนายพล | | ออกเกลื่อนกล่นพร้อมพรั่งไพร่คั่งคับ
|
| ราชบุตรราชวงศ์เมืองหนองคาย | | ต่างผันผายมาฟังสั่งสดับ
|
| ยังพระยามหาอำมาตย์ท่านแม่ทัพ | | มาคำนับให้แจ้งที่แคลงใจ
|
| ข้างท่านพระยามหาอำมาตย์ | | จึ่งถามราชบุตรตามความสงสัย
|
| ซึ่งรบฮ่อปากทางนั้นอย่างไร | | มึงจึงได้แตกมาดูน่าอาย
|
| ไม่คุมพี่ป้าน้าสาวและอาวอา | | จงก้มหน้าสิ้นชีวิตอย่าคิดหมาย
|
| ตั้งปรับโทษทัณฑ์มึงให้ถึงตาย | | แล้วส่งนายเพชฌฆาตให้ฟาดฟัน
|
| ตัดหัวเสียบประจานร่าไว้หน้าเวียง | | แม้นใครดูอย่างเยี่ยงต้องอาสัญ
|
| ครั้นรุ่งขึ้นหลายเวลาสี่ห้าวัน | | ก็เตรียมกันพร้อมไว้เหล่าไพร่พล
|
| จึ่งเข้าเมืองหนองคายใช้ให้ข้า | | สืบกิจจาให้แจ้งแห่งนุสนธิ์
|
| ข้าก็ไปสืบความพร้อมสามคน | | เข้าไปจนค่ายวัดจันไม่พรั่นพรึง
|
| ให้ทิดลุนขึ้นบนต้นน้อยแหน่ | | เห็นพวกฮ่อซ้อแซ้บ้างนอนขึง
|
| บ้างสูบฝิ่นเล่นไพ่ใส่กันอึง | | ข้าเจ้าจึ่งแอบดูเหล่าผู้คน
|
| พวกอ้ายฮ่อไม่รักษาอยู่หน้าที่ | | ล้วนแต่ขี้เซาหลับอยู่สับสน
|
| ไม่เป็นเยี่ยงอย่างทัพกำกับพล | | ดูชอบกลผิดในพิชัยสงคราม
|
| อ้ายพวกฮ่อปองปองทองพระพุทธ | | พระเจดีย์มันก็ขุดทำหยาบหยาม
|
| ข้าพเจ้าลอบดูครั้นรู้ความ | | กลับมาตามฝั่งน้ำคืนค่ำมัว
|
| เห็นเรือฮ่อทิ้งทอดจอดอยู่ท่า | | ไม่มีผู้รักษาทั้งท้ายหัว
|
| จอดอยู่ชิดชิดกันไม่พันพัว | | แลดูทั่วเรียงรายหลายสิบลำ
|
| ข้าพเจ้าจึ่งแฝงเฝือตัดเรือปล่อย | | เรือก็ลอยตามละลอกแลออกลำ
|
| ด้วยค่ายไทยคับคั่งตั้งประจำ | | อยู่ใต้น้ำตัดเรือปล่อยลอยลงไป
|
| ครั้นสืบการเสร็จสรรพข้ากลับมา | | พระยาประทุมเทวาก็ถามไถ่
|
| ข้าให้การทุกสิ่งตามจริงใจ | | ตามที่ได้ยินแก่หูรู้แก่ตา ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นกองทัพหัวเมืองถึงพร้อมหมด | | จึ่งกำหนดการศึกคิดปรึกษา
|
| จะใคร่ตีค่ายฮ่อต่อศักดา | | ทั้งด้านหน้าด้านในจัดไพร่พล
|
| กองพระพรหมยกกระบัตรเมืองโคราช | | นั้นองอาจกำลังหนุ่มคุมพหล
|
| ไปตีค่ายสี่สถานริมชานชล | | จัดแจงคนฉุกเฉินไม่เนิ่นนาน
|
| สมทบกองทัพลาวและท้าวเพี้ย | | มิได้เปลี้ยใจพลั่นคิดหยันหย่อน
|
| แต่ล้วนคนชำนาญเคยราญรอน | | เหล่านิกรโยธีเคยมีชัย
|
| ตัวพระยามหาอำมาตย์เป็นแม่ทัพ | | นั้นก็รับด้านหน้าท่าน้ำไหล
|
| จะตีทัพเรือกระทบรบเข้าไป | | จัดแจงไว้เสร็จตามโดยความควร ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นเดือนสิบเอ็ดขึ้นค่ำ(?)นัดกำหนด | | พร้อมทั้งหมดเตรียมกันไม่ผันผวน
|
| ตัวพระพรหมยกกระบัตรจัดกระบวน | | ยกทัพสวนเข้าไปล้อมรบพร้อมกัน
|
| เข้าตีค่ายสี่สถานทหารแยก | | รบฮ่อแตกทิ่งค่ายหนีผายผัน
|
| อ้ายฮ่อหนีเข้าในค่ายวัดจัน | | ทัพไทยไล่กระชั้นติดตามมา
|
| ซึ่งพระยาโคราชไม่หวาดไหว | | ตีค่ายใหญ่สี่สถานหาญหนักหนา
|
| อ้ายพ่อฮ่อย่อยยับจึ่งกลับมา | | ต่างหนีพากันไปค่ายวัดจัน
|
| กองพระยาโคราชก็อาจหาญ | | เข้าล้อมด่ายใต้รบดูขบขัน
|
| กองพระพรหมยกกระบัตรก็จัดกัน | | ล้อมตั้งมั่นด่านเหนือเห็นเหลือดี
|
| พระยายกกระบัตรจัดคนเข้าปล้นค่าย | | พังทลายฮ่อแหกแตกวิ่งหนี
|
| เข้าในโบสถ์วัดจันด้วยทันที | | ประตูมีมันก็ปิดคิดอุบาย
|
| รื้อกระเบื้องขึ้นบนฝ้าหลังคาโบสถ์ | | มันยิงปืนลูกโดดพิฆาตหมาย
|
| มาถูกกองทัพไทยขาดใจตาย | | ต้องทำค่ายระเนียดตั้งบังลูกปืน
|
| กองทัพไทยพรั่งพร้อมล้อมอ้ายฮ่อ | | ไม่ย่นย่อตั้งหน้าเข้าฝ่าฝืน
|
| เหล่าพวกพลโห่โหมเสียงโครมครืน | | ล้วนแต่พื้นพลรอบขอบกำแพง
|
| ทั้งทัพไทยลาวเข้าล้อมอยู่พร้อมเพรียง | | อยู่จนเที่ยงสุริยาส่องจ้าแสง
|
| เห็นเรือแหยบหลังกันยาหุ้มผ้าแดง | | ข้ามพายแซงจอดยังฝั่งชลา
|
| สักครู่หนึ่งกลับเรือเมื้อสำนัก | | ไม่ประจักษ์ว่าผู้ใดใจกังขา
|
| ข้าจึ่งถามพลไพร่เรือใครมา | | เห็นหลังคาแดงฉาดประหลาดใจ
|
| เขาบอกว่าเรือพระยามหาอำมาตย์ | | ข้าหลวงราชพิศวงไม่สงสัย
|
| ครั้นว่าค่ำสุริโยอโณทัย | | ฝนตกใหญ่พรมพรำในค่ำคืน
|
| พวกอ้ายฮ่อเปิดโบสถ์กระโดดหนี | | แผลงฤทธีแกล้วกล้าฟันฝ่าฝืน
|
| กองทัพไทยไล่วิ่งบ้างยิงปืน | | อ้ายฮ่อตื่นหนีได้ทั้งไพร่นาย
|
| พระยายกกระบัตรจัดไพร่ตามไปจับ | | ได้รบรับฮ่อแหกวิ่งแตกหาย
|
| บ้างจับได้ตัวเป็นที่เดนตาย | | ทั้งหญิงชายกองทัพจับมาตาม
|
| ทั้งทองลิ่มเงินตราเครื่องอาวุธ | | ทั้งปืนชุดหอกดาบเก็บหาบหาม
|
| ทั้งม้าเมียม้าผู้ดูงามงาม | | ทำสงครามมีชัยจับได้มา
|
| ต่างมอบให้พระยามหาอำมาตย์ | | ของประหลาดมากจริงหลายสิ่งสา
|
| เสมียนทำบัญชีมีบรรดา | | ทั้งเงินตราข้าวของทองตระการ
|
| พวกนายทัพต้องรับสาบานบอก | | ว่ามิได้ยัยอกพัสถาน
|
| ต่างคนกระทำสัตย์ปฏิญาณ | | ก็สิ้นคำให้การความสัตย์จริง ฯ
|
|
|
| ๏ เจ้าพระยาจอมทัพสดับชัด | | ให้เสมียนเขียนคัดสั่งนายสิ่ง
|
| ระดมเสมียนมาอย่าประวิง | | เขียนอย่าทิ้งตกซ้ำคำให้การ
|
| ครั้นสำเร็จเสร็จส่งลงบางกอก | | กับใบบอกเมืองลาวแจ้งข่าวสาร
|
| ซึ่งในเมืองหนองคายทราบรายงาน | | ซุ่ง(?)ภัยพาลมิได้มีไพรีรอน
|
| ส่งไปกราบทูลพระกรุณา | | ตามเลขาลายจำหลักคำอักษร
|
| กรมการรับหมดบทจร | | จากนครราชสีมาเร่งคลาไคล ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นเดือนยี่แรมแปดค่ำมีกำหนด | | ได้จำจดมั่นคงไม่สงสัย
|
| พอท้องตรามาถึงอีกนึ่งใบ | | พลไพร่บันเทิงเริงสำราญ
|
| หมายใจว่าท้องตราให้หากลับ | | คนกองทัพปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
|
| ด้วยหนองคายวายศึกนึกประมาณ | | ไม่มีการคงหาทัพกลับนคร
|
| เหล่าไพร่พลกองทัพมาคับคั่ง | | อยากจะฟังท้องตราหน้าสลอน
|
| เหมือนสัตว์นรกหมกไหม้ในไฟฟอน | | ที่รนร้อนเหลือกำลังประทังตน
|
| เหมือนเห็นพระมาลัยเสร็จเสด็จมา | | ปรารถนาจะให้โปรดประโยชน์ผล
|
| สัตว์นรกวิ่งแซ่มาแจจน | | เหมือนไพร่พลกองทัพที่คับใจ
|
| ครั้นฉีกผนึกออกอ่านซึ่งสารตรา | | บังคับมาความแจ้งแถลงไข
|
| ว่าเมืองหนองคายนี้ไม่มีอะไร | | สิ้นจากภัยอ้ายฮ่อมาก่อกวน
|
| แต่ว่าทางเมืองเหนือยังเหลือหลอ | | ยังมีฮ่อแว่นแคว้นแดนเสฉวน
|
| มาตั้งค่ายรายเนื่องอยู่เมืองพวน | | เขตแดนญวนมากมายหลายตำบล
|
| แล้วให้เจ้าพระยามหินทร์เคาน์ซิลลอร์ | | ให้พักรอทัพตั้งฟังนุสนธิ์
|
| ให้รวบรวมพร้อมไว้เหล่าไพร่พล | | จงปรือปรนตั้งใจระไวระวัง
|
| แม้นทัพเจ้าพระยาภูจะจู่โจม | | เข้าหักโหมชิงชัยเหมือนใจหวัง
|
| มีหนังสือมาขอต่อกำลัง | | อย่ารอรั้งรีบยกทัพบกไป
|
| อย่าคอยฟังท้องตราจะช้าเนิ่น | | การฉุกเฉินอย่าพะวงคิดสงสัย
|
| จงรีบยกขึ้นไปช่วยด้วยไวไว | | เป็นอย่าให้เสียขาดราชการ ฯ
|
|
|
| ๏ อ่านท้องตราสำเร็จจบเสร็จสรรพ | | พวกกองทัพที่มาฟังนั่งขนาน
|
| ต่างคนต่างรู้จะอยู่นาน | | ต้องทรมานทรมาคิดอาวรณ์
|
| ต่างคนโศกเศร้าบ้างเหงาหงอย | | ล้วนหน้าจ๋อยเสียใจฤทัยทอน
|
| ซึ่งตัวฉันแจ้งใจดังไฟฟอน | | ตามลมร้อนอยู่ในใจรำคาญ ฯ
|
|
|
| ๏ เดือนยี่แรมสิบเอ็ดค่ำจะร่ำเรื่อง | | บ้านเจ้าเมืองเหลือสนุกโกนจุกหลาน
|
| พี่นี้จะดูเขาทำน่ารำคาญ | | เสมือนการมหรสพครบลำเนา
|
| ปลูกเขาไกรลาสใหญ่ที่ในสระ | | มีที่พระสวดมนตร์บนภูเขา
|
| สี่สิบองค์สวดสำเนียงเสียงไม่เบา | | ที่บนเหย้าบนเรือนสวดเหมือนกัน
|
| มีขารำสำเหนียกเรียกกะแจะ | | ตบมือแปะทะลึ่งโลดกระโดดขัน
|
| เจ้าผู้ชายรำล่อดูงองัน | | พิณพาทย์นั้นโทนกับปี่ตีกันอึง
|
| ท่านเจ้าเมืองคิดเห็นให้เป็นสุข | | เชิญเจ้าคุณตัดจุกคำนับถึง
|
| เป็นมงคลนับถือไม่ดื้อดึง | | เจ้าคุณจึ่งไปเหย้าตามเขาเชิญ
|
| เอาละครกองทัพไปเล่นช่วย | | พวกละครมิได้ขวยสะเทินเขิน
|
| เล่นในการโกนจุกสนุกเกิน | | คนดูเพลินกระไรเลยไม่เคยดู
|
| การละเล่นอื่นอื่นมีดื่นบ้าน | | ทั้งเพลงการแอ่วลาวลั่นสนั่นหู
|
| เวลาค่ำสนธยาหน้าประตู | | ดอกไม้รุ่งมีอยู่เขาจุดไฟ
|
| ดอกไม้กระถางรายตั้งจุดปังโปง | | จุดพลุโพลงตึงลั่นเสียงหวั่นไหว
|
| ดอกไม้เทียนพุ่งจุดสะดุดใจ | | แสงสุกใสสว่างกลางนภา
|
| ไฟพะเนียงเสียงลั่นสนั่นคึก | | คะโครมครึกอึงหูดังซู่ซ่า
|
| ทั้งดอกไม้ช้างร้องช่องสทา | | ดอกไม้ม้าวิ่งถนนคนกระจาย
|
| ทั้งอ้ายตื้อและตะไลโคมลอยลิ่ว | | ลมพัดปลิวเทียมฟ้าดูหน้าหงาย
|
| ครั้นดอกไม้ไฟจุดพอหยุดงาย | | ครั้นรุ่งสายสุริยาทิวาการ
|
| คนโกนจุกเดินไปเขาไกรลาส | | ตีพิณพาทย์บรรเลงวังเวงหวาน
|
| ยิงปืนต้นสับสนอลมาน | | เสียงสะท้านสะเทื้อนสะเทือนกาย
|
| ครั้นเมื่อจะตัดจุกเขาคุกคาม | | คนร้องห้ามปากเสียงสำเนียงหาย
|
| ห้ามพิณพาทย์มิให้ตีมีระคาย | | ครั้นโกนแล้วผันผายเบญจาพลัน
|
| เหล่าพระสงฆ์ทุกองค์ตักน้ำสาด | | คนเกลื่อนกลาดล้วนมือจับถือขัน
|
| ต่างคนตักน้ำสาดพัลวัน | | เข้าช่วยกันรดน้ำทำชอบกล
|
| คนโกนจุกเสร็จมาผลัดผ้าสี | | กลับนุ่งผ้าขาวนี้น่าฉงน
|
| ต้องนุ่งขาวสามวันมันเต็มทน | | แจ้งยุบลน่าหัวร่อให้งองัน
|
| หรือทำตามเพศลาวชาวบ้านนอก | | ผิดบางกอกจริงจริงทุกสิ่งสรรพ์
|
| ซึ่งประดิษฐ์คิดคำกล่าวรำพัน | | จริงทั้งนั้นมิได้แกล้งมาแต่งการ ฯ
|
|
|
| ๏ ฝ่ายว่าพณะหัวจอมพหล | | เห็นไพร่พลไม่มีสุขสนุกสนาน
|
| ล้วนง่วงเหงามิได้มีที่สำราญ | | จึ่งคิดอ่านแก้ไขในปัญญา
|
| จัดละครเล่นสนุกแก้ทุกข์ทน | | เห็นไพร่พลพร้อมกันด้วยหรรษา
|
| ต่างคนต่างแก้ทุกข์สนุกตา | | บ้างเฮฮาเอิกเกริกเบิกสบาย
|
| พวกชาวเมืองต่างดูมากรูกราว | | ทั้งแก่สาวพรั่งพรูมาดูหลาย
|
| ทั้งเด็กเดินเด็กวิ่งพร้อมหญิงชาย | | ตะเกียกตะกายชักพากันมาอึง
|
| พวกละครตัวดีมีฝีมือ | | ได้ฝึกปรือซ้อมประสมเล่นคมขึง
|
| พวกสาวชาวโคราชหวาดคะนึง | | เสียงกลองตึงเป็นต้องมาตั้งตาดู
|
| ลางอนงค์จงภักดิ์รักละคร | | มาหลับนอนตามยศไม่อดสู
|
| พวกละครไม่อดอยากซึ่งหมากพลู | | ล้วนจับคู่ได้เมียเสียทุกคน
|
| พวกละครน้อยตัวไม่ทั่วสาว | | ต่อยืดยาวทั้งกองทัพดูสับสน
|
| ล้วนมีชู้คู่ทั่วทุกตัวตน | | ผู้หญิงยลรักงามติดตามมา
|
| ที่ผู้ดีหาที่รักตามศักดิ์สูง | | ที่เหล่าฝูงหญิงโคราชทาสทาสา
|
| ก็รักพวกนิกายฝ่ายโยธา | | ติดตามมาอยู่กันออกพันพัว
|
| หญิงโคราชแสนสวาทพวกกองทัพ | | อยากขยับจะใคร่ได้เป็นผัว
|
| ที่มีลูกสาวแซ่ฝ่ายแม่กลัว | | ต้องคุมตัวซ่อนเร้นเป็นโกลา
|
| ที่บางคนมีบ่าวเป็นสาวแส้ | | ลั่นกุญแจโซ่ใหญ่ต้องใส่ขา
|
| กลัวกองทัพนั้นจักไปลักพา | | ต้องรักษาบ่าวไพร่ไม่สบาย
|
| ข้างเจ้าเมืองโคราชให้หวาดไหว | | กลัวบ่าวไพร่ลูกเมียจะเสียหาย
|
| จะตามพวกกองทัพไปลับกาย | | เกณฑ์ผู้ชายนั่งยามตามประตู
|
| ตั้งระวังยิ่งยวดเป็นกวดขัน | | ด้วยพวกกองทัพนั้นมาเที่ยวอยู่
|
| จะลอบรักเมียน้อยคอยเล่นชู้ | | มิให้หมู่กองทัพลอบลับมา ฯ
|
|
|
| ๏ วันหนึ่งค้นได้เสื้อหมวกพวกกองทัพ | | ในห้องหับหม่อมตัวโปรดโกรธหนักหนา
|
| ท่านพระยากำแหงแผลงศักดา | | ชำระหาแม่สื่อคือผู้ใด
|
| ซึ่งได้ผ้ากับหมวกพวกกองทัพ | | สองสำรับนี้หวามาแต่ไหน
|
| ถามหม่อมปลั่งตัวรักซักว่าใคร | | เอามาให้กับมึงจนถึงมือ
|
| หม่อมอึดอัดซัดป้ายนายทหาร | | ได้ว่าวานอีพุ่มรู้เป็นผู้ถือ
|
| ท่านพระยาโคราชตวาดอือ | | หมวกผ้าหือเอามาไว้ทำไมกัน
|
| หม่อมเรียนตามจริงจิตจะคิดหนี | | แปลงอินทรีย์เป็นผู้ชายลอบผายผัน
|
| พระยาโคราชเตะตบเข่นขบฟัน | | สั่งผูกพันอีพุ่มเฆี่ยนเจียนชีวัน
|
| อีพุ่มให้การชัดแล้วซัดใส่ | | หลวงอะไรท่านมาหาดีฉัน
|
| ให้เอาเสื้อหมวกดำเป็นสำคัญ | | นำผายผันมาให้หม่อมของพร้อมเพรียง
|
| ท่านพระยาโคราชตวาดอึง | | ร้องเหม่น้อยหรือมึงจนสุดเสียง
|
| เตะอีพุ่มกลุ้มกลมลุกล้มเอียง | | อีพุ่มเพียงบรรลัยขาดใจตาย
|
| แล้วใส่ตรวนขานกยางลูกยางโต | | ซ้ำสวมโซ่กลัวจะลี้หลบหนีหาย
|
| สั่งคนคุมอีพุ่มอยู่เรียงราย | | ทั้งหญิงชายพิทักษ์พร้อมพรักกัน
|
| เจ้าเมืองนำเสื้อหมวกพวกกองทัพ | | มาร้องกับพระยาราชเสนานั่น
|
| พระยาราชเสนารับมาฉับพลัน | | แล้วกล่าวกลั่นจดหมายตามรายความ
|
| มากราบเรียนพณฯ หัวจอมพหล | | ตามเหตุผลชู้สาวที่กล่าวถาม
|
| ในเรื่องราวมีหมดปรากฏนาม | | ให้เจ้าเมืองติดตามมากราบเรียน
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพรับหนังสือ | | กรายกรถืออ่านความตามเกษียน
|
| สดับเรื่องเบื้องต้นดูวนเวียน | | เห็นผิดเพี้ยนเหลือคิดในจิตแคลน
|
| ด้วยหญิงหนึ่งมาดหมายผู้ชายสอง | | เหมือนวันทองครั้งเบื้องเรื่องขุนแผน
|
| ซึ่งเรานั้นต้องพันวสาแทน | | ก็สุดแสนที่ถวิลตัดสินความ
|
| จึ่งบัญชาถามนายฝ่ายทหาร | | จงให้การโดยจริงสิ่งที่ถาม
|
| ด้วยเรื่องราวกล่าวฉลุระบุนาม | | จงแจ้งตามจริงใจหมวกใครมี
|
| นายทหารคำนับรับบัญชา | | กราบเรียนว่าเสื้อหมวกพวกที่นี่
|
| ของเก่ากระนั้นไซร้มิได้มี | | ไม่เหมือนอีพุ่มซัดความสัตย์จริง
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพกลับประภาษ | | ถามพระยาโคราชไปทุกสิ่ง
|
| ซึ่งจะให้ชำระความตามประวิง | | ต้องขอตัวผู้หญิงมายืนยัน
|
| แม้นจะให้สำเร็จแล้วเด็ดขาด | | ให้เจ้าเมืองโคราชคิดผ่อนผัน
|
| ส่งตัวคนกลางมาได้ว่ากัน | | โดยเที่ยงธรรม์ยุติธรรมคำหารือ
|
| นี่ซัดเขาเขาไม่รับจับไม่ได้ | | เป็นจนใจชำระความตามหนังสือ
|
| หรือใครจับเสื้อผ้าได้คามือ | | จะผูกถืออย่างไรการไม่ควร
|
| แม้นจะให้สำเร็จความเท็จจริง | | ส่งตัวหญิงมาจึ่งชอบให้สอบสวน
|
| พระยาโคราชได้ฟังนั่งเรรวน | | ทำหน้าม้วนเหมือนอย่างงูนางอาย
|
| หนังสือพระยาราชเสนากล่าวหาฟ้อง | | ความข้อสองปรากฏในจดหมาย
|
| พวกกองทัพหมกมุ่นทำวุ่นวาย | | เที่ยวลักนายพาบ่าวของเขาไป
|
| ล้วนหญิงทาสชาวนิคมกรมการ | | บ่าวชาวบ้านเชยชิดพิศมัย
|
| พวกกองทัพลักพามาร่ำไป | | อยู่ที่ในเขื่อนค่ายมากหลายคน
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพสดับเรื่อง | | ว่าชาวเมืองตามกองทัพมาสับสน
|
| เป็นสุดจะห้ามใจของไพร่พล | | ล้วนเต็มทนพลัดพรากมาจากเมีย
|
| หญิงสมัครรักชายเรื่องรายนี้ | | เป็นสุดที่ปราบปรามห้ามเขาเสีย
|
| หญิงก็อยากชายก็ยั่วจึ่งปัวเปีย | | ต่างคลอเคลียรักใคร่ใจของมัน
|
| ถึงว่าตัวเรานี้หากมีศักดิ์ | | เป็นสุดจัดยอกย้อนคิดผ่อนผัน
|
| หาไม่ก็เที่ยวไปพามาเหมือนกัน | | เขาเต็มกลั้นจะห้ามปรามอย่างไร
|
| ด้วยหญิงมันสมัครรักผู้ชาย | | จึงหนีหายพยายามตามวิสัย
|
| แม้นกองทัพลักพาบ่าวข้าใคร | | ใจต่อใจมันพร้อมยินยอมกัน
|
| ให้เจ้าเงินมาร้องฟ้องเถิดนะ | | จะชำระให้จริงทุกสิ่งสรรพ์
|
| ทาสชาวบ้านที่มีสารกรมธรรม์ | | ทั้งสองนั้นรักใคร่ไม่เรรวน
|
| จะคิดเงินค่าตัวให้ยอมใช้ทุน | | มิให้ขุ่นเคืองจิตทำผิดผวน
|
| ทั้งนอกกรมในกรมให้สมควร | | เร่งชักชวนกันมาร้องฟ้องต่อเรา
|
| ล้วนนายทัพนายกองมานองเนือง | | คอยชำระความเรื่องบ่าวทาสเขา
|
| ใครเร่งมาร้องความตามสำเนา | | ล้วนว่างเปล่าค่อยจะชำระความ
|
| ตกพนักงานของฝ่ายกองทัพ | | จะคอยรับชำระให้อย่าได้ขาม
|
| แม้นบุตรสาวของผู้ใดพอใจงาม | | วิ่งแร่ตามกองทัพมาหลับนอน
|
| ก็สุดแม่พ่อจะยอยก | | การจะตกลงกันจัดผันผ่อน
|
| ต้องชำระเป่าปัดคิดตัดรอน | | มิให้ราษฎรเคืองรำคาญ
|
| ถ้าแม้นชายพวกมากลากไปฉุด | | ซึ่งบ่าวบุตรข้าทาสทำอาจหาญ
|
| คงจะตัดสินความให้ตามการ | | ซึ่งชายพาลอย่างนี้ไม่มีใคร
|
| ท่านเจ้าคุณจงหวังสั่งเสมียน | | ให้มาเขียนตามบัญชาที่ปราศรัย
|
| ตอบพระยาราชเสนาจะว่าไร | | คนถือหนังสือไปให้แกดู
|
| พระยาโคราชบาดหมางระคางเขิน | | ใจสะเทิ้นแสนระทดจิตอดสู
|
| ด้วยหาเขานั้นผิดติดประตู | | หมองนิ่งอยู่ฟังถามความทั้งปวง
|
| เพราะหาโทษเขานั้นไม่มั่นคง | | ครั้นจะส่งเมียมาแก่ข้าหลวง
|
| พิจารณาว่าความตามกระทรวง | | ก็หึงหวงสุดปัญญาเลยลาไป
|
| ครั้นรุ่งขึ้นระบือลือกันกลุ้ม | | ว่าอีพุ่มหนีไม่รู้ไปอยู่ไหน
|
| บ้างว่าเขาฆ่าตายมันหายไป | | ต่างสงสัยหนักหนาพูดจากัน
|
| เรื่องหนีนั้นขัดขวางไปทางไหน | | คนระวังระไวตรวจเป็นกวดขัน
|
| นายประตูนั่งยามก็ครามครัน | | เป็นหลายชั้นตามช่องด้อมมองมี
|
| ตรวนก็โตโซ่ก็ใหญ่มิใช่หยอก | | จะตัดออกเห็นไม่ไหวมันไม่หนี
|
| เจ้าเมืองฆ่ามันตายวายชีวี | | ครั้นเป็นผีสิ้นชีวิตแล้วปิดบัง
|
| คนในจวนพูดชุมว่าอีพุ่มหนี | | ข้างคนนอกว่าเอาผีไปซ่อนฝัง
|
| ต่างคนต่างลือระบือดัง | | การก็ยังไม่แท้แน่ข้างใคร
|
| ความก็เรียบค่อยเงียบสงบหาย | | ไม่แพร่งพรายต่างพินิจคิดสงสัย
|
| ไม่มีผู้รู้แท้หนึ่งแน่ใจ | | ก็เงียบไปวายคนสนทนา ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นวันหนึ่งทราบความตามกระแส | | ซึ่งท้องตรามาแท้ไม่กังขา
|
| ข้อประกาศแก่พระยาราชเสนา | | ให้มีตราประกาศหมายเมืองรายทาง
|
| ห้ามมิให้ซื้อข้าวให้ท้าวเพี้ย | | หยุดซื้อเสียเหลือจงเข้าคงฉาง
|
| พวกเรารู้แจ้งใจไม่ระคาง | | ด้วยไว้วางจิตแท้เป็นแน่ใจ
|
| มิให้ซื้อข้าวกล้องจ่ายกองทัพ | | คงได้กลับมั่นคงไม่สงสัย
|
| คนทั้งหลายหมายแน่เซ็งแซ่ไป | | ด้วยจะได้กลับบ้านถิ่นฐานตน
|
| ต่างก็เตรียมข้าวของทั้งกองทัพ | | คิดว่ากลับแน่ใจไม่ฉงน
|
| คอยรอฟังท้องตราถ้วนหน้าคน | | เป็นกังวลสืบสาวถามข่าวไป
|
| บางคนก็ไปเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง | | ทำสุงสิงพากันมาหวั่นไหว
|
| ไม่ว่าเหล่าบ่าวทาสบังอาจใจ | | แม้นรักใครลักพากันมาอึง
|
| ข้างชาวเมืองตามร้องฟ้องกันวุ่น | | จนเจ้าคุณทราบต่อหูได้รู้ถึง
|
| เขามาร้องตรองตรึกนึกคำนึง | | คิดรำพึงผ่อนผันเป็นฉันใด
|
| ท่านเจ้าพระยาจอมพหลกังวลหนัก | | ด้วยเรื่องลักพากันมาหวั่นไหว
|
| บัญชาสั่งตามกระทรวงหลวงพิชัย | | ประกาศไปปิดประตู้รอบบุรี
|
| แม้นหญิงทาสชายพามากองทัพ | | ให้บอกกับพระชัยบูรณ์และขุนศรี
|
| กะดานพลโดยตามความคดี | | ว่าหญิงหหนีตามมาสัจจาจริง
|
| กำหนดสามวันรู้ให้ผู้ชาย | | จงห่อเงินไปถ่ายค่าตัวหญิง
|
| แม้นไม่มีเงินตราอย่าประวิง | | ส่งตัวหญิงคืนไปให้กับนาย
|
| อย่าให้ป่วยการงานหน่วงนานวัน | | ถ้าดื้อดันจะทำโทษตามกฎหมาย
|
| ทั้งกองทัพรู้แจ้งไม่แพร่งพราย | | ต่างยักย้ายผ่อนผันด้วยปัญญา
|
| ขืนลักพาข้าเขาเข้ามาไว้ | | ล้วนเงินไปติดตัวชั่วหนักหนา
|
| ส่งตัวหญิงคืนไปไม่นำพา | | เจ้าเงินเล่าเขาด่าทำโทษทัณฑ์
|
| ซึ่งอย่างนี้มีชุมเกลื่อนกลุ้มหนัก | | หญิงเฝ้ารักผู้ชายตาผายผัน
|
| นายเขาเฆี่ยนก็ไม่ขามอยากตามกัน | | ดูมันขันยิ่งชุมมารุมไป
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่ง | | ประกาศทั้งกองทัพบังคับไข
|
| ว่าทีหลังใครอย่าพาซึ่งข้าไท | | ห้ามมิให้ลักพาซึ่งนารี
|
| ถ้าผูกรักใคร่กันจงผันผ่อน | | วางเงินเขาเสียก่อนอย่าชวนหนี
|
| แม้นขืนจักลักพาฝืนวาที | | จะต้องมีโทษทัณฑ์ตามบัญชา ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงเดือนสามแรมแปดค่ำได้จำคืน | | พ่อจมื่นตำรวจใหญ่ชัยภูษา
|
| เสร็จจึงถึงนครราชสีมา | | เชิญท้องตราราชสีห์มีสำคัญ
|
| กับดอกไม้ไฟสำหรับรบทัพเจ๊ก | | และกรวดเล็กเรี่ยวแรงฤทธิ์แข็งขัน
|
| อีกดินปืนที่ยัดปัศตัน | | หลายร้อยพันสำหรับกองทัพมา
|
| ล้วนของหลวงทรงประทานท่านเจ้าคุณ | | ดินกระสุนของอื่นเครื่องปืนผา
|
| ถึงที่ทำเนียบค่ายบ่ายเวลา | | เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง
|
| พรักพร้อมด้วยเจ้าเมืองกรมการ | | แน่นขนานคอยนั่งอยู่ทั้งผอง
|
| พร้อมสรรพนายทัพและนายกอง | | จึ่งฉีกท้องตราอ่านสารโองการ
|
| ว่าซึ่งกองทัพฮ่อที่ก่อกวน | | อยู่เมืองพวนนักหนาล้วนกล้าหาญ
|
| และเมืองสุยเชียงขวางทางกันดาร | | ฮ่อประมาณหกร้อยคอยประจญ
|
| ให้เจ้าพระยารีบยกทัพบกไป | | ได้ชิงชัยต่อตีให้ปี้ป่น
|
| ให้มีชื่อเสียงไว้ในสกล- | | ล โลกล้นลือนามด้วยความดี
|
| ในข้อสองว่าด้วยกองเสบียงนั้น | | เมืองเวียงจันท์ไปเชียงขวางทางวิถี
|
| ต้องเดินตามข้ามเขินเนินคีรี | | เห็นสุดที่ส่งลำเลียงเสบียงคน
|
| ซึ่งจะให้พระยามหาอำมาตย์ | | เหลือขนาดส่งเสบียงเลี้ยงพหล
|
| ด้วยว่าทางเดินยากลำบากพล | | ที่จะขนโคต่างทางกันดาร
|
| บัดนี้เล่าได้สั่งเจ้าพระยาภู | | จัดแจงดูส่งเสบียงเลี้ยงทหาร
|
| ได้มีตราไปกำชับบังคับการ | | ให้คิดอ่านส่งเสบียงให้เพียงพอ ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นสำเร็จเสร็จอ่านซึ่งสารศรี | | ความอื่นมีมากมายอีกหลายข้อ
|
| ท่านเจ้าคุณได้ฟังไม่รั้งรอ | | แต่งตอบต่อบังคมลาฝ่ายุคล
|
| บัญชาสั่งตามกระทรวงหลวงภักดี | | ผู้ว่าที่ยกกระบัตรจัดพหล
|
| ให้ถ้วนตามริ้วทัพกำชับพล | | ประจวบจนวันดีได้ลีลา
|
| สั่งขุนโลกนัยนาให้หาฤกษ์ | | โหรก็เลิกสมุดต้นเที่ยวค้นหา
|
| แล้วลงเลขคูณหารอ่านตำรา | | แล้วเขียนว่าแม่นมั่นซึ่งวันดี
|
| ในเดือนสามฤกษ์เลิศมงคล | | รอไปจนคลาดเคลื่อนถึงเดือนสี่
|
| ขึ้นเจ็ดค่ำเมฆเบิกนั้นฤกษ์ดี | | รออีกทีสิบสองค่ำฤกษ์นำพล
|
| พวกกองทัพทุกหมู่ต่างรู้ตัว | | เตรียมกันทั่วกองทัพดูสับสน
|
| ทหม้าหาบหามแต่งพอแรงตน | | ทั่วทุกคนแต่งเสร็จสำเร็จการ
|
| เจ้าพระยาจอมพหลกังวลนัก | | ด้วยว่าจักยกพหลพลทหาร
|
| ทางโคกหลวงน้ำนั้นแสนกันดาร | | จะรำคาญเคืองใจแก่ไพร่พล
|
| ด้วยพระมหาเทพนั้นคลาดคลาย | | มาแต่เมืองหนองคายแจ้งเหตุผล
|
| กันดารน้ำลำหนองและคลองชล | | ทุกตำบลแห้งขอดตลอดทาง
|
| เจ้าพระยาพาทีมีบัญชา | | ให้ขุนราชเมธาไปสืบสาง
|
| ที่ด้วยเรื่องน้ำแห้งแหนงระคาง | | ตามระหว่างที่พักพำนักพล
|
| พร้อมกรมการทหารหน้า | | ไปสืบซึ่งกิจจาเอาเหตุผล
|
| กับขุนหมื่นริ้วตั้งในวังบน | | ทั้งสี่คนสืบการอย่านานวัน
|
| ทั้งสี่นานคำนับรับบัญชา | | ต่างคลาดคลาเคลื่อนคล้ายรีบผายผัน
|
| ไปสืบรู้เสร็จสรรพแล้วกลับพลัน | | ถึงพร้อมกันหมอบราบก้มกราบเรียน
|
| ทางโคกหลวงเหลือแล้วน้ำแห้งขอด | | ทั่วตลอดจดกะระยะเขียน
|
| เป็นหนทางกลางทุ่งเวิ้งวุ้งเตียน | | สุดแวะเวียนร่มพักสำนักคน
|
| ครั้นเจ้าคุณได้ฟังไม่กังขา | | จึงปรึกษาข้อความตามนุสนธิ์
|
| ด้วยหนทางที่จะไปพร้อมไพร่พล | | จะปี้ป่นทารกรรมน้ำไม่มี
|
| จะยกเยื้องทางเมืองพิมายหนอ | | น้ำท่าพอทั่วระหว่างทางวิถี
|
| พร้อมนายทัพนายกองร้องว่าดี | | จะเป็นที่อาศัยแก่ไพร่พล
|
| หลวงภักดียกกระบัตรคนจัดเจน | | จึงกะเกณฑ์หมายไปไม่ฉงน
|
| แล้วเร่งเกณฑ์เกวียนช้างโคต่างคน | | หัวเมืองบนสมทบทัพให้ฉับพลัน
|
| กรมการเร่งรัดจัดมาส่ง | | ไม่ไหลหลงรีบรวดการกวดขัน
|
| ต้องรีบรัดจัดหามาให้ทัน | | บ้างผ่อนผันหากินจิตยินดี
|
| ราษฎรที่มีช้างโคต่างเกวียน | | บ้างถูกเฆี่ยนด้วยนำช้างโคต่างหนี
|
| ราษฎรยับเยินบ้างเงินมี | | เสียให้ที่กรมการท่านผู้เกณฑ์
|
| กรมการได้ทีดีใจหาย | | ผู้จัดจ่ายหน้าแดงเป็นแสงเสน
|
| ได้เงินทองของตระการซ่านกระเซ็น | | ด้วยจัดเจนเคยฉ้อพอสบาย
|
| ที่เกวียนดีมั่นคงไม่ส่งให้ | | ยักยอกไว้ซ่อนเร้นไม่เห็นหาย
|
| ให้แต่เกวียนจวนจักหักทลาย | | โคเกือบตายผอมเต็มที่มีแต่โครง
|
| จึงจัดจ่ายให้กับกองทัพมา | | พวกเราว่าเหลือทนบ่นโขมง
|
| กรมการเต็มแค้นช่างแสนโกง | | ที่ปากโป้งด่าว่านินทาดัง ฯ
|
|
|
| ๏ กองทัพได้เกวียนต่างช้างสำเร็จ | | ถึงขึ้นเจ็ดค่ำมีสี่เดือนหวัง
|
| กำหนดฤกษ์บริสุทธิ์วันพุทธัง | | พรักพร้อมพรั่งจัดกระบวนทวนทุกกอง
|
| เวลาบ่ายได้ฤกษ์เลิกพหล | | ดูสับสนประดาดังคนทั้งผอง
|
| เจ้าคุณเสร็จขึ้นนั่งยังจำลอง | | ก็ลั่นฆ้องโห่เดินดำเนินพล
|
| ซึ่งช้างทรงองค์พระปฏิมา | | กลับผันหน้าเป็นนิมิตคิดฉงน
|
| เฝ้าถอยหลังเดินกลับขยับตน | | หมอไสจนระอาใจไม่ยักเดิน
|
| ผู้คนร้องวิปริตนิมิตดี | | ไปครั้งนี้คงเป็นสุขไม่ฉุกเฉิน
|
| นิมิตมงคลดีมีจำเริญ | | ไม่นานเนิ่นกองทัพคงกลับคืน
|
| คนเนืองนองกองทัพดูสับสน | | ฝูงไร่พลเฮฮาต่างหน้าชื่น
|
| ล้วนใจคอเหี้ยมฮึกเสียงครึกครื้น | | บ้างช้างตื่นหันเหียนวิ่งเวียนวน
|
| ยกนิกรจากนครราชสีมา | | มุ่งมรรคาเข้าในพฤกษ์ไพรสณฑ์
|
| ระยะบ้านเรียงรายหลายตำบล | | ไม่ชอบกลป่วยการคิดราญรอน
|
| ข้ามลำน้ำบริบูรณ์พูนสวัสดิ์ | | เร่งรีบรัดจรจรัลไม่ผันผ่อน
|
| พอถึงสระธรรมขันธ์ตะวันจร | | หยุดพักร้อมแรมพักสำนักพล
|
| พอขุนนราฤทธิไกรไปหนองคาย | | กลับผันผายคำนับน้อมจอมพหล
|
| ทำหนังสือถือตรามาแต่บน | | ข้อนุสนธิ์เจ้าพระยาภูธราภัย
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับหนังสือ | | ประจงถืออ่านแจ้งแถลงไข
|
| พร้อมนายทัพนายกองเนืองนองไป | | อ่านแจ้งใจประจักษ์ความตามยุบล
|
| ว่าเมืองหลวงพระบางทางกันดาร | | ซึ่งอาหารและเสบียงเลี้ยงพหล
|
| เหลือลำบากยากใจแก่ไพร่พล | | ย่อมขัดสนอดอยากลำบากใจ
|
| แต่ซึ่งอ้ายพวกฮ่อทรลักษณ์ | | ไม่หาญหักรบราอัชฌาสัย
|
| มาชักชวนหย่าทัพยกกลับไป | | ตั้งอยู่ในเมืองพวนเห็นรวนเร
|
| ได้จัดพระสุริยภักดีไป | | ซ้ำเติมใส่เสียให้มันแตกหันเห
|
| ในกำหนดเดือนสามตามคะเน | | ให้ซวนเซสำทับให้ยับเยิน
|
| ในข้อสองว่ากองครัวเมืองพรวน | | อ้ายฮ่อกวนเกิดยุคยามฉุกเฉิน
|
| หนีมาสู่โพธิสมภารประมาณเกิน | | แยกทางเดินไปเบื้องเมืองหนองคาย
|
| ซึ่งตาแสงแขวงกำนันพันท้ายบ้าน | | และกองด่าน(?)กักขังครัวทั้งหลาย
|
| ได้มีตราไปบังคับกำชับนาย | | ปล่อยโดยง่ายมิได้ตั้งกักขังนาน
|
| แม้นเจ้าพระยามหินทร์รู้สิ้นสรรพ | | จะมีตราไปบังคับไปว่าขาน
|
| ถึงพระยามหาอำมาตย์ราชการ | | ให้นายบ้านปลอบครัวไม่พัวพัน
|
| เห็นจะดีไม่เสียขาดราชการ | | ครั้นว่าอ่านความจบเสร็จสบสรรพ์
|
| เจ้าคุณแต่งเรื่องตามเนื้อความพลัน | | หนังสือนั้นเสร็จส่งให้ลงไป
|
| ให้พระยาราชเสนารู้อาการ | | ในข่าวสารแจ่มแจ้งแถลงไข
|
| ให้คนนำหนังสือถือครรไล | | แต่โดยในวันนั้นไม่ผันแปร
|
| ครั้นจวนแจ้งแสงเสร็จสิบเอ็ดทุ่ม | | ผู้คนกลุ้มอยู่ระเบ็งเสียงเซ็งแซ่
|
| พวกทหารนั้นเล่าก็เป่าแตร | | คนอัดแอผูกช้างโคต่างพลัน
|
| คนพร้อมพรั่งทั้งหลายก็บ่ายบาก | | ยกออกจากสระน้ำธรรมขันธ์
|
| เดินกระบวนมาในทางกลางอรัญ | | สุริยันเยี่ยมฟ้าเวลางาย
|
| ประจวบถึงพึ่งเกราเข้าสำนัก | | หยุดผ่อนพักโยธาเวลาสาย
|
| ต่างคนเสพอาหารสำราญกาย | | แต่พอบ่ายสุริยาท้องฟ้ามัว
|
| พอลมตกยกขยับกองทัพเดิน | | ร่มจำเริญแดดแฝงแสงสลัว
|
| เห็นฝนใหญ่ตั้งร่ามาน่ากลัว | | ตลอดทั่วโดยรอบขอบมณฑล ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงหนองสะแกแลสะอาด | | ที่บนโคกจอมปราสาทกลางไพรสณฑ์
|
| เสร็จปลงช้างหยุดพักสำนักพล | | แรมตำบลนั้นคืนรื่นสำราญ
|
| วลาหกตกอยู่เสียงซู่ซ่า | | พวกโยธาคับคั่งนั่งขนาน
|
| ไม่มีที่บังร่มเปียกซมซาน | | เอาใบตาลบิดบังนั่งยองยอง
|
| บางคนหักได้กิ่งไม้คลุม | | มาปกสุมมิดชิดบังปิดของ
|
| บรรดาเหล่าชาวพลเปียกฝนนอง | | ฟ้าก็ร้องเปรี้ยงครืนดั่งปืนยิง
|
| พอฝนหายหนาวงันสั่นเหมือนไข้ | | ต้องก่อไปขึ้นนั่งพออังผิง
|
| พวกไพร่พลหนาวงันสั่นเหมือนลิง | | มันหนาวจริงจับใจผิงไฟลน ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นเช้ามืดตีสิบเอ็ดพร้อมเสร็จสรรพ | | คลาเคลื่อนทัพออกดำเนินเดินพหล
|
| รุ่งแสงทองท้องฟ้านภาดล | | ประจบจนแม่น้ำลำเชียงไกร
|
| น้ำก็เค็มเต็มเหลือเหมือนเกลือแช่ | | ลำกระแสน้ำแสงสีแดงใส
|
| ก็เสร็จข้ามโยธารีบคลาไคล | | ก็เข้าในเขตตำแหน่งแขวงพิมาย
|
| เดินในทุ่งสัมฤทธิ์พินิจแล | | ดูทิวไม้ไกลแท้น่าใจหาย
|
| แลเวิ้งวุ้งทุ่งเลี่ยนเตียนสบาย | | ดูสุดสายนัยนาพฤกษาทิว
|
| เห็นแนวไม้สุดคาดมาตรคะเน | | ดังทะเลบกชัดลมพัดฉิว
|
| ละอองฝุ่นกลางทุ่งขึ้นฟุ้งปลิว | | แลละลิ่วเหมือนอย่างกลางทะเล
|
| ผู้นำร่องเจนจัดนำตัดทุ่ง | | เคยหมายมุ่งแม่นใจไม่ไขว้เขว
|
| ชำนาญทางหมายมาตรคาดคะเน | | ไม่โย้เย้เดินมุ่งตัดทุ่งเตียน
|
| พอถึงหนองโรงเรือช่างเหลือร้อน | | จะพักผ่อนยากจิตสถิตเสถียร
|
| พอพระพิมายหมอบราบมากราบเรียน | | น้อมจำเนียรโดยความกล่าวตามการ
|
| เชิญเจ้าคุณประเทียบทำเนียบร้อน | | หยุดพักผ่อนโดยระยะสระสนาน
|
| ทำเนียบปลูกไว้ท่าโอฬาฬาร | | ที่ริมธารโดยระยะขอบสระโต
|
| เจ้าคุณดีที่สุดว่าหยุดอยู่ | | ซึ่งเหล่าหมู่ทวยหารประมาณโข
|
| พักกลางแจ้งร้อนแสงสุริโย | | แดดออกโร่ทำเนียบหนอไม่พอกัน
|
| จะอาศัยได้แต่เราเข้าไปอยู่ | | สงสารหมู่เหล่าทหารพลขันธ์
|
| ด้วยคนมิใช่ร้อยหลายร้อยพัน | | จะหยุดนั้นไม่มีที่กำบัง
|
| พระพิมายเลยนำทางตัดขวางทุ่ง | | เขม้นมุ่งทิวไม้ด้วยใจหวัง
|
| เข้าหยุดร่มพฤกษาเป็นป่ารัง | | อยู่ริมฝั่งขอบลำแม่น้ำมูล
|
| เห็นน้ำใจใหญ่โตดูโสภา | | ฝูงมัจฉากุมภิลไม่สิ้นสูญ
|
| จระเข้ก็มีบริบูรณ์ | | ดูเพิ่มพูปรีดาผักปลาชุม
|
| บ้างมีอวนมีแหลงแซ่เสียง | | ได้ปลาเงี่ยงปลางาหากันกลุ้ม
|
| บางคนตั้งกับช้อนต้อนเข้ามุม | | บ้างก็สุ่มที่ตื้นล้วนพื้นทราย
|
| ดูสนุกน่าสนานในชานชล | | เหล่าผู้คนเซ็งแซ่กระแสสาย
|
| มุจฉาชุมไพร่พลกระวนกระวาย | | ครั้นว่าบ่ายลมตกเสร็จยกพล
|
| เดินมาในกลางทุ่งมุ่งเขม้น | | เหลือบแลเห็นฟ้าสลัวมืดมัวฝน
|
| พระสุริย์ศรีรังสรรค์อันธกล | | ฟ้ามืดมนธ์ถึงเบื้องเมืองพิมาย
|
| ก็หยุดพักพวกพหลพลทหาร | | ยั้งที่ท่าสงกรานต์กระแสสาย
|
| อยู่ที่ริมฝั่งน้ำมูลเนินพูนทราย | | พลนิกายล้าหลังยังไม่มา
|
| บ้างเท้าบวมจะเดินเหินไม่ไหว | | บ้างเป็นไข้ต้องรอหมอรักษา
|
| ฝ่ายว่าเจ้าคุณท่านมีบัญชา | | หยุดรอท่าพลพองามกว่าสามวัน
|
| ครั้นรุ่งแสงสุริยาฟ้าระยับ | | เจ้าพระยาแม่ทัพเสร็จผายผัน
|
| ประสาทศิลาพร้อมหน้ากัน | | ซึ่งตัวฉันพยายามติดตามไป ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงปราสาทหินเห็นภิญโญ | | สูงเติบโตนี่ใครสร้างแต่ปางไหน
|
| มีหน้าบันมุขเด่นเห็นวิไล | | น่าปลื้มใจมือช่างสร้างบรรจง
|
| ชั้นนอกรอบหินขอบกำแพงชิด | | มีปรางค์มุขสี่ทิศแลระหง
|
| เสามุขใหญ่หินยันดูมั่นคง | | บุษบงหินรับสลับลาย
|
| ลอกลวดลายมะหวดกลึงงามขึงขำ | | สง่าง้ำแลเลิศดูเฉิดฉาย
|
| ปราสาทข้างปราสาทเคียงดูเรียงราย | | เห็นแยบคายต่อติดสนิทแนว
|
| พร้อมรั้ววังคลังหินล้วนศิลา | | ทำหลังคาหินเคียงเรียงเป็นแก้ว
|
| รอบนอกทิมดาบรายงามพรายแพรว | | แลล้วนแล้วศิลาน่าจะดู
|
| ในพระราชวังหลายหลังเรือน | | ทำเหมือนเหมือนรายเรียงเคียงกันอยู่
|
| เอาศิลามาแต่ไหนก็ไม่รู้ | | ไม่มีภูเขาใหญ่อยู่ใกล้เคียง
|
| ไปเก็บหินฉุดลากมาจากไหน | | แท่งใหญ่ใหญ่ก่อสร้างวางเฉลียง
|
| อุตสาหะแต่งตั้งเป็นวังเวียง | | พิศดูเพียงเทวฤทธิ์นิมิตทำ
|
| มีกำแพงปราการชั้นด้านนอก | | มีข้างทิศตะวันออกดูขึงขำ
|
| เชิงเทินดินศิลาน่าประจำ | | สง่าง้ำแข็งขันเห็นมั่นคง
|
| มีถนนหินทางเดินดำเนินออก | | จากมุขด้านตะวะนออกโดยประสงค์
|
| ไปนครหลวงนครวัดทางตัดตรง | | ข้ามฝ่าดงไปในป่าพนาลี
|
| ล้วนหินมูลก่อเห็นเป็นถนน | | น่าฉงนชมทางหว่างวิถี
|
| เขาว่าไปแต่พิมายหลายราตรี | | จึงถึงที่นครวัดโดยสัจจัง
|
| เมืองนี้เดิมพารามหากษัตริย์ | | พรหมทัตทราบเรื่องในเบื้องหลัง
|
| สุดจะร่ำพรรณนาว่าให้ฟัง | | ขอยับยั้งเรื่องนิยายพิมายเมือง
|
| แม้นอยากรู้จงดูเรื่องปาจิตร์ | | ท่านบัณฑิตกล่าวแกล้งแสดงเรื่อง
|
| ครั้นจะร่ำกล่าวจะช้าเวลาเปลือง | | จึงยักเยื้องหลีกลัดตัดนิยาย
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพบังคับหวัง | | บัญชาสั่งนิมนต์สงฆ์องค์ทั้งหลาย
|
| มาหมดสิ้นตลอดเบื้องเมืองพิมาย | | แล้วถวายปัจจัยไทยทาน
|
| เชิญพระทนต์พระจอมเกล้าพระเจ้าราช | | ขึ้นเหนืออาสน์ปรางค์หินในถิ่นฐาน
|
| สดับปกรณ์เสร็จสำเร็จการ | | แสนสำราญรื่นเริงบันเทิงใจ
|
| แล้วเลยเที่ยวไปกระทั่งถึงยังถิ่น | | เรียงวังหินมีลำแม่น้ำใหญ่
|
| เห็นชาวบ้านทอดแหเซ็งแซ่ไป | | อยู่ที่ในชลธาร์แน่นสาชล
|
| พวกชาวบ้านนำปลามาคำนับ | | ให้เจ้าคุณแม่ทัพอยู่สับสน
|
| ท่านก็แจกเงินทั่วทุกตัวคน | | ส่งให้ขนเอาปลานั้นมาพลัน
|
| มาแจกจ่ายนายทัพกับนายกอง | | จิตปรองดองมิให้เคียดขึ้งเดียดฉันท์
|
| คนละหลายหลายตัวแจกทั่วกัน | | แจกจนชั้นไพร่พลคนละตัว
|
| ครั้นรุ่งแสงสุริยาเวลากาล | | พวกชาวบ้านชักพามากันทั่ว
|
| แต่งสำรับคับขันมาพันพัว | | คำนับพณหัวจอมโยธา
|
| เจ้าคุณเรียกเงินไปแจกให้กับ | | พวกเจ้าของสำรับทั่วถ้วนหน้า
|
| สมควรกับของเขาที่เอามา | | แล้วบัญชาสั่งให้พวกไพร่พล
|
| ยกสำรับแบ่งปันสู่กันกิน | | คนได้ยินยกสำรับมาสับสน
|
| แบ่งปันกันตามประสาเวลาจน | | เหล่าผู้คนได้สมอารมณ์ปอง
|
| กองทัพแรมเมืองพิมายหลายราตรี | | เหล่าโยธีพร้อมพรั่งสิ้นทั้งผอง
|
| หายล้าเลื่อยเมื่อยปวดทุกหมวดกอง | | จึงสำรองการเดินดำเนินพล
|
| ครั้นรุ่งสุริย์ศรีตีสิบเอ็ด | | เตรียมพร้อมเสร็จยกเขยื้อนเคลื่อนพหล
|
| ออกจากเมืองพิมายหมายตำบล | | เข้าไพรสณฑ์ออกจากทุ่งมุ่งหนทาง
|
| ดูเวิ้งวุ้งทุ่งทิวแลลิ่วลับ | | เดินกองทัพตัดไปทิวไม้กว้าง
|
| ถึงท่าโพหยุดร้อนพักผ่อนพลาง | | แล้วปลงช้างหยุดพักสำนักพลัน
|
| อยู่ที่ริมฝั่งลำแม่น้ำมูล | | ต่างเพิ่มพูนปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
|
| ชวนกันลงสู่ท่าหาปลากัน | | พอตะวันบ่านเดินดำเนินพล
|
| ถึงบ้านศาลาหักหยุดพักแรม | | พระจันทร์แจ่มส่องสว่างกลางเวหน
|
| แรมสำนักพักอยู่พร้อมผู้คน | | ริมฝั่งชลแม่น้ำมูลเพิ่มพูนใจ ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นจวนรุ่งตีสิบเอ็ดพร้อมเสร็จสรรพ | | ยกกองทัพจรจรัลเสียงหวั่นไหว
|
| เดินตัดท้องทุ่งกว้างหนทางไกล | | ลึกเข้าในป่าละเมาะลัดเลาะจร
|
| รีบรัดไม่รั่งรอมาบหึง | | บรรลุถึงที่พักสำนักผ่อน
|
| ด้วยสายแสงสุริย์ศรีระวีวร | | หยุดหนองบัวสุกรเวลาการ
|
| ครั้นร้อนอ่อนแสงสุริยน | | เหล่าไพร่พลปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
|
| เสร็จคลาเคลื่อนโยธาไม่ช้านาน | | จากสถานที่พักสำนักพลัน ฯ
|
|
|
| ๏ มาถึงบ้านนางออรอสำนัก | | เข้าหยุดพักซึ่งพหลพลขันธ์
|
| บ้านนางออมีผู้เฒ่าเขาเล่ากัน | | แต่ก่อนนั้นเรื่องนิทานนานเต็มที
|
| คือว่านางอรภิมนิ่มอนงค์ | | ได้เป็นองค์เอกเอ้มเหสี
|
| กษัตริย์เมืองพิมายนิยายมี | | ถิ่นที่นี้เป็นบ้านสถานนาง
|
| กี่หูกปรากฎตั้งยังไม่สิ้น | | คล้ายเป็นหินชัดชัดไม่ขัดขวาง
|
| ปรากฎตั้งประจำเห็นสำอาง | | ชำรุดร้างพังหักประจักษ์ตา
|
| ด้วยว่าของนี้นั้นหลายพันปี | | เรื่องราวนี้ฉันไม่แสร้งแกล้งมุสา
|
| เป็นเรื่องราวโบราณนมนานมา | | คือเรื่องปาจิตร์นั้นจงอ่านดู
|
| ตรงนี้เดิมสร้างเมืองแต่เบื้องหลัง | | แต่คราวครั้งพรหมทัตกษัตริย์สู่
|
| มีเชิงเทินเดินรอบเป็นขอบคู | | ปรากฏอยู่ตาคนจนทุกวัน
|
| ฝ่ายกองทัพรอรั้งตั้งสงบ | | จวนจะพลบพร้อมพหลพลขันธ์
|
| พวกไพร่พลตั้งล้อมอยู่พร้อมกัน | | เป็นชั้นชั้นริมลำแม่น้ำมูล
|
| น้ำมูลเอ๋ยดักหน้าเฝ่สมาคอย | | พบบ่อยบ่อยอาบกินไม่สิ้นสูญ
|
| ฉันคิดคิดขึ้นมายิ่งอาดูร | | ไม่เพิ่มพูนโหยหาแสนอาลัย
|
| แต่มิ่งมิตรของพี่ต้องนิราศ | | ช่างหายขาดมิได้เห็นเป็นไฉน
|
| เฝ้าพบแต่แม่น้ำมูลร่ำไป | | แม่ขวัญใจอนิจจาไม่มาเยือน
|
| ตั้งแต่พี่เริศร้างห่างสวาท | | ช่างหายขาดดังคนขีดเอามีดเฉือน
|
| แต่พลัดพรากจากมาห้าหกเดือน | | ไม่พบเพื่อนพิศมัยอาลัยลาน
|
| เวลาค่ำย่ำฆ้องมีตีสิบเอ็ด | | พรักพร้อมเสร็จพหลพลทหาร
|
| ยกจากบ้านนางออไม่รอนาน | | เสียงสะท้านสะเทื้อนพระธรณิน
|
| ด้วยฝีเท้าคนเดินดำเนินดัง | | มาคับคั่งในป่าพฤกษาสิน
|
| ลมระบายชายชวยมารวยริน | | รุ่งแสงทินกรอัมพรแดง ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงหนองห้วยหมูสู่สำนัก | | เข้าหยุดพักพลนิกายพอสายแสง
|
| สู่ทำเนียบที่สร้างไว้กลางแปลง | | มาจัดแจงเรียบร้อยคอยเจ้าคุณ
|
| ต่างจัดแจงปลงช้างโคต่างหยุด | | บ้างก็มุดเข้าอาศัยอยู่ใต้ถุน
|
| บ้างขนของเอะอะชุลมุน | | บางคนวุ่นเวียนหวิวหิวไม่พัน
|
| พอบ่ายแสงสุริยาฟ้าพายัพ | | ยกกองทัพพร้อมนิกายจะผายผัน
|
| ข้ามท้องทุ่งเข้าทางกลางอรัญ | | มุ่งหมายมั่นเดินผ่าป่าสะแก
|
| ก็เสร็จข้ามแม่น้ำลำสะแทก | | เป็นลำแยกจากมูลศูนย์กระแส
|
| สิ้นเขตแดนพิมายเมืองชำเลืองแล | | เข้าแขวงแควเมืองลาวชาวอรัญ ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงหนองช้างน้ำมีทำเนียบ | | หยุดประเทียบพักพหลพลขันธ์
|
| ถึงขอบหนองดูตามนามสำคัญ | | ช้างน้ำนั้นอยู่ไหนจึงไม่ยล
|
| หรือตั้งชื่อย้อนยอกแกล้งหลอกพลาง | | เห็นแต่ช้างกองทัพอยู่สับสน
|
| ลงสู่ในวารินดื่มกินชล | | ออกเกลื่อนกล่นหนองน้ำคละคล่ำไป
|
| ก็รอรั้งตั้งทัพอยู่ยับยั้ง | | คนก็ตั้งแวดล้อมพร้อมไสว
|
| ทั้งด่านนอกหอกทหารอยู่ด้านใน | | พลไพร่พรักพร้อมตั้งล้อมวง
|
| กรมการพร้อมพรั่งมาคั่งคับ | | ท่านเจ้าคุณออกรับดังประสงค์
|
| เขานำม้าสีดำมุ่งจำนง | | ตั้งใจจงน้อมเกล้าให้เจ้าคุณ
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพไม่รับไว้ | | ท่านคืนให้เขาพลันไม่หันหุน
|
| ด้วยกริ่งเกรงหัวเมืองจะเปลืองทุน | | กลัวบุญคุณเขาจะติดไม่คิดปอง ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสุริยง | | คนล้อมวงพร้อมพรั่งสิ้นทั้งผอง
|
| ทั้งด้านนอกด้านในสุมไฟกอง | | บ้างตีเกราะเคาะฆ้องกระแตตี
|
| พอกรมการมาพร้อมน้อมจำนง | | ว่าเมืองพุทไธสงน่าบัดสี
|
| มีอ้ายผู้ร้ายมารบราวี | | ชาวบุรีจวนจะแตกวิ่งแหวกทาง
|
| อ้ายผู้ร้ายพูดสำเนียงเสียงประหลาด | | เหมือนโคราชได้ฟังชัดไม่ขัดขวาง
|
| ขอบารมีช่วยดับความอับปาง | | เหมือนก่อสร้างพุทไธสงให้คงเวียง
|
| ท่านเจ้าคุณฟังแจ้งแถลงไข | | เป็นการใหญ่ฟังศัพท์สดับเสียง
|
| จึงเอนโอษฐ์ปราศรัยแล้วไล่เลียง | | เห็นแท้เที่ยงข้อความตามคดี
|
| บัญชาเยื้องสั่งเจ้าเมืองบุรีรัมย์ | | ซึ่งมานำหนทางกลางไพรศรี
|
| ไปจับผู้ร้ายมาในราตรี | | กับขุนสัจจวาทีอีกหนึ่งนาย
|
| หลวงพิชัยเสนาอาสารับ | | จะไปจับพวกปล้นคนทั้งหลาย
|
| ท่านเจ้าคุณอนุญาตต่างคลาดคลาย | | พร้อมสามนายรีบไปในราตรี
|
| ซึ่งกองทัพอยู่ทางยังห่างเมือง | | คอยฟังเรื่องผู้ร้ายจะหน่ายหนี
|
| หรือจะจับได้มันในทันที | | จนฆ้องตีสิบทุ่มคนกลุ้มกัน
|
| เสร็จเดินกระบวนทัพไม่ยับยั้ง | | พร้อมสะพรั่งไพร่นายเตรียมผายผัน
|
| สว่างแจ้งแสงสีระวีวรรณ | | ก็พร้อมกันจรมาไม่ช้านาน
|
| เข้าในเขตเมืองใหญ่พุทไธสง | | คนเรียกคงนามสิ้นทุกถิ่นฐาน
|
| มีชื่อมาแต่ปฐมกาลนมนาน | | จะประมาณหมายมั่นหลายพันปี
|
| พิศดูเมืองใหญ่พุทไธสง | | เห็นมั่นคงคึกคักเป็นศักดิ์ศรี
|
| เชิงเทินดินล้อมรอบขอบบุรี | | หนองน้ำมีรอบเมืองติดเนื่องกัน
|
| ถึงทำเนียบข้างประเทียบประทับพัก | | หยุดพร้อมพักพหลพลขันธ์
|
| ขนของส่งลงวางปลงช้างพลัน | | บ้างหมายมั่นร่มไม้ด้วยใจจง
|
| ฝ่ายหลวงพิชัยเสนาพาอ้ายคน | | พวกที่ปล้นเข้าในพุทไธสง
|
| เข้ากราบเรียนพรั่งพร้อมน้อมจำนง | | โดยมั่นคงเรียนแยกแต่แรกมา
|
| เมื่อมาถึงเห็นเหล่าพวกชาวเมือง | | จัดแจงเครื่องหาบวิ่งทิ้งเคหา
|
| จวนจะแยกแตกหนีหลีกลีลา | | มาดแม้นช้าแล้วแตกแยกกันไป
|
| หากมาทันปราบปรามห้ามว่าช้า | | เราจะฆ่าอ้ายคนร้ายหายไปไหน
|
| ซึ่งพวกลาวชาวบุรีต่างดีใจ | | มากราบไหว้ร้องให้ช่วยด้วยขอรับ
|
| ทั้งเจ้าเมืองกรมการคลานเข้าหา | | แล้วบอกว่ามีคนปล้นไล่ขับ
|
| เดี๋ยวนี้อยู่โรงเหล้าแย่งเอาทรัพย์ | | ช้าขยับมันจะไปไม่ได้มัน
|
| แล้วเกล้าผมตรงไปพอได้พบ | | มันลี้หลบแอบนิ่งวิ่งถลัน
|
| เอาม้าล้อมควบไล่เกือบไม่ทัน | | จึงบอกมันขืนวิ่งกูยิงตาย
|
| ต้องยอมให้จับตัวมันกลัวปืน | | นิ่งหยุดยืนกับที่ไม่หนีหาย
|
| คือพวกในกองทัพน่าอับอาย | | มาทำร้ายปล้นสดมภ์กรมการ
|
| พวกโคราชคนหนึ่งก็ถึงจิต | | มันคบคิดกันมาจึงกล้าหาญ
|
| กับด้วยพวกกองทัพมารับงาน | | ซึ่งชาวบ้านตั้งบัญชีตีราคา
|
| รวมเงินตามอยู่ในสามตำลึงเศษ | | เรียนตามเหตุที่ลาวเขากล่าวหา
|
| เจ้าคุณได้ทราบพลันมีบัญชา | | เอาตัวมาชำระดูให้รู้ความ
|
| อ้ายผู้ร้ายเป็นสัจแล้วซัดเพื่อน | | ไม่แชเชือนเรียนรับบังคับถาม
|
| เจ้าคุณทราบระบิลตัดสินความ | | ใช้เงินตามของที่ตีราคา
|
| ให้มุลนายออกเงินใช้ให้เจ้าของ | | แล้วรับรองตัวพิทักษ์ดูรักษา
|
| แม้นวันได้ชำระจะเอามา | | ตะโหงกคาใส่ประจำทำประจาน ฯ
|
|
|
| ๏ เวลาค่ำย่ำฆ้องตีสองทุ่ม | | ผู้คนกลุ้มมี่ฉาวแจ้งข่าวสาร
|
| เห็นพระพิมายหมอบราบมากราบกราน | | เชิญซึ่งพานท้องตรามาแต่กรุง
|
| คนกองทัพรู้ข่าววิ่งกราวกรู | | อยากจะรู้วิ่งโลดกระโดดผลุง
|
| ต่างคนมาคอยฟังนั่งกันมุง | | ใจเฟื่องฟุ้งชักพากันมาฟัง
|
| ฝ่ายเจ้าพระยาแม่ทัพรับท้องตรา | | พร้อมบรรดานายทัพมาคับคั่ง
|
| ฉีกผนึกอ่านเสียงสำเนียงดัง | | ในข้อบังคับคำล้ำวิไล
|
| ให้กองทัพยับยั้งตั้งนี่ก่อน | | อยู่นครราชสีมาอย่าไปไหน
|
| พวกกองทัพโยธีต่างดีใจ | | ได้กลับไปโคราชสมมาดปอง
|
| ต่างเปรมปรีดิ์ดีใจจะได้กลับ | | นอนไม่หลับยินดีไม่มีสอง
|
| ต่างคนเหิมใจฮึกนึกคะนอง | | บ้างโห่ร้องสักรวาเสภาอึง
|
| ที่เหล่าคนเจ็บไข้ไปไม่รอด | | ครางออดออดคร้านเกียจนอนเหยียดขึง
|
| ยินข่าวกลับโคราชหวาดคะนึง | | ลุกทะลึ่งหายไข้ได้ทันที
|
| เจ้าคุณแจ้งทำนองในท้องตรา | | จึงปรึกษาปลื้มเปรมเกษมศรี
|
| ว่าจะทำฉันใดไฉนดี | | ท้องตรามีบังคับให้กลับไป
|
| ซึ่งนายทัพนายกองสนองตอบ | | ต่างเห็นชอบพร้อมกันเสียงหวั่นไหว
|
| ด้วยต่างคนเปรมปรีดิ์คิดดีใจ | | อยากจะใคร่กลับโคราชไม่ขาดคน
|
| ครั้นตีสิบเอ็ดทุ่มคนกลุ้มเกลื่อน | | ยกเขยื้อนกองทัพกลับพหล
|
| หยุดพักระยะน้ำหลายตำบล | | ประจวบจนถึงโคราชมุ่งมาดมา
|
| สู่ทำเนียบเกยพักสำนักก่อน | | สโมสรเกษมสันต์หรรษา
|
| ต่างคนเป็นสุโขทั้งโยธา | | พร้อมถ้วนหน้าชุ่มชื่นต่างคืนคง
|
| เมื่อวันหนึ่งจึงเจ้าคุณชำระเรื่อง | | อ้ายหกคนปล้นเมืองพุทไธสง
|
| ผูกเฆี่ยนห้าสิบทีตีมันลง | | แล้วก็ส่งจำคุกให้ทุกข์ทน
|
| มิให้เป็นเยี่ยงอย่างไปข้างหน้า | | พวกพาราเกะกะอกุศล
|
| เฆี่ยนเป็นตัวอย่างไว้แก่ไพร่พล | | จะได้ยลเกรงระย่อไม่ก่อการ ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงวันสิ้นปีเดือนสี่สุด | | เป็นวันตรุษปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
|
| โอ้เราเอ๋ยจากมาก็ช้านาน | | จะประมาณหกเดือนไม่เคลื่อนคลาย
|
| พวกชาวเมืองว้าวุ่นทำบุญทาน | | เกษมศานต์พร้อมพรั่งสิ้นทั้งหลาย
|
| ล้วนแต่งตัวสวยฟ้อก่อพระทราย | | ทั้งหญิงชายพร้อมไปไพร่ผู้ดี
|
| กองทัพฝ่ายเราก็ก่อพระทราย | | ทั้งไพร่นายปรีดิ์เปรมเกษมศรี
|
| ต่างจัดคนมาทั่ววิ่งวัวดี | | เล่นกันที่หน้าทำเนียบเปรียบกันดู
|
| เล่นกันถึงเงินทองต่อรองกัน | | วิ่งกันวันมากมายหลายหลายคู่
|
| เหล่าฝูงคนคับคั่งมาพรั่งพรู | | ออกเกรียวกรูไม่เคยเห็นเล่นพนัน
|
| พวกเมืองโคราชมาวิ่งน่าชม | | ชื่อว่าอ้ายเทียมลมตัวขยัน
|
| มาวิ่งกับกองทัพรับพนัน | | วิ่งเดิมพันชั่งหนึ่งเสียงอึงอล
|
| ชาวโคราชทำป๋อร้องต่อมี่ | | หกเอาสี่พวกเรารับร้องสับสน
|
| โคราชหมายมีชัยไม่จำนน | | มันต่อล้นสองเอาหนึ่งเล่นถึงใจ
|
| พอตัดเชือกปล่อยหางต่างวางวิ่ง | | มันเร็วจริงฉุยฉิวดูหวิวไหว
|
| วัวกองทัพวิ่งดีก็มีชัย | | พอฉวยได้ธงแดงแกว่งให้ดู
|
| วัวโคราชวิ่งแต่แพ้กองทัพ | | ต่างคนอัปยศแสนอดสู
|
| พวกเราเฮฮาดังวิ่งพรั่งพรู | | บางคนรู้เต้นรำทำประจาน
|
| บ้างหัวเราะเยาะเย้าพวกชาวเมือง | | นึกโกรธเคืองเมินหน้าไม่ว่าขาน
|
| ชาวเมืองเสียเงินยับอัประมาณ | | สนุกสนานที่สุดเมื่อตรุษไทย ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงเดือนสี่หกค่ำจำไว้สิ้น | | พระราชรินถึงพลันเสียงหวั่นไหว
|
| เชิญท้องตราเสร็จถึงอีกหนึ่งใบ | | กองทัพได้แจ้งข้อวิ่งสอฟัง
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพรับท้องตรา | | พร้อมบรรดานายทัพอยู่คับคั่ง
|
| กรมการพร้อมหน้าประดาดัง | | ไม่รอรั้งฉีกสารออกอ่านพลัน
|
| ในสารตรามีมาถึงแม่ทัพ | | ให้ยกกลับคืนไปไอศวรรย์
|
| ให้เร่งรัดจัดแจงดูแบ่งปัน | | ปัศตันกระสุนปืนคืนนคร
|
| แต่ส่วนหนึ่งให้พระยามหาอำมาตย์ | | ตามพระราชดำริสั่งดังอักษร
|
| กรมเขนทองขวาซ้ายนายนิกร | | พระราชวังบวรนั้นขึ้นไป
|
| สมทบทัพกับพระยามหาอำมาตย์ | | อย่าให้ขาดริ้วทัพบังคับไข
|
| จัดทำนาหาเสบียงพร้อมเพรียงไว้ | | อยู่ที่ในหนองคายจงหลายพัน
|
| แล้งปีชวดอัฐศกได้ยกทัพ | | เข้าประจญรบรับให้คับขัน
|
| อย่าให้ตั้งมั่วสุมชุมนุมกัน | | ในเขตขัณฑ์เมืองพวนให้ควรการ
|
| กรมทหารอีกกองไปหนองคาย | | ทั้งไพร่นายสำหรับจัดหัดทหาร
|
| ให้พวกลาวไวว่องคล่องชำนาญ | | ประจัญบานรบฮ่อต่อศักดา
|
| แต่กรมพระสัสดีมิให้ขาด | | พระพิบูลย์พระชาติปีกซ้ายขวา
|
| กรมเรือกันทั้งสองตามท้องตรา | | บังคับมาเสร็จสรรพให้กลับไป
|
| แต่กรมพลพรรค์นั้นมีแจ้ง | | กรมแสงเสร็จสรรพบังคับไข
|
| จงยกกลับพร้อมเพรียงคืนเวียงชัย | | ต่างดีใจได้สมอารมณ์ปอง
|
| น่าสงสารพวกที่ต้องไปหนองคาย | | ทั้งไพร่นายง่วงเหงาจิตเศร้าหมอง
|
| อนิจจาน่าสังเวชน้ำเนตรนอง | | ทุกหมวดกองเหงาหงอยโศกสร้อยครวญ
|
| ข้างพวกเรานั้นไซร้จะได้กลับ | | ทั้งกองทัพฮาลั่นเสียงสันต์สรวล
|
| เอิกเกริกเริงร่าน่าสำรวล | | แต่แล้วล้วนกลับคืนหน้าชื่นบาน
|
| แต่เจ้าคุณแม่ทัพจะกลับถิ่น | | จิตถวิลใจพะวงคิดสงสาร
|
| จะพลัดพรากจากไปอาลัยลาน | | เหล่าทหารที่จะต้องไปหนองคาย
|
| เคยร่วมสุขทุกข์ยากจะจากกัน | | จะนับวันว่างเว้นำม่เห็นหาย
|
| สงสารด้วยพหลพลนิกาย | | จะแพร่งพรายพลัดไปไกลกันดาร
|
| แล้วท่านจัดพร้อมเพรียงเสบียงกรัง | | ขนมปังกินยืดทั้งจืดหวาน
|
| ปลาซาดินอินทผาลำทั้งน้ำตาล | | ท่านเจือจานแจกจ่ายทุกนายพล
|
| ทั้งพริกเกลือเยื่อเคยนมเนยนอก | | แล้วสั่งบอกไพร่มารับอยู่สับสน
|
| ซึ่งข้าวของกองคละอยู่ปะปน | | ผู้คนขนคนละกองของดีดี ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นเดือนห้าล่วงเข้าขึ้นเก้าค่ำ | | เป็นวันกำหนดทัพกลับกรุงศรี
|
| ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์ | | เสียงอึงมี่พร้อมพรักคึกคักคน
|
| พวกจะไปหนองคายผันผายมา | | เข้าอำลาคำนับน้อมจอมพหล
|
| ต่างตรมตรองหมองมัวทุกตัวคน | | เนตรนองชลธาราให้อาวรณ์
|
| ท่านเจ้าคุณออกรับสดับคำ | | ท่านก็ร่ำวาจังกล่าวสั่งสอน
|
| แล้วเลยร่ำคำประภาษประสาทพร | | กล่าวสุนทรโดยตามความอาลัย
|
| เดิมท่านอยู่พร้อมหน้าข้าพเจ้า | | บัดนี้เล่ามีกรรมทำไฉน
|
| ต่างคนเราต่างจะห่างไป | | โดยแต่ในวันนี้ลับลี้กัน
|
| พวกท่านไปได้ลำบากความยากเย็น | | จงให้เป็นสามัคคีดีขยัน
|
| อย่าถือเปรียบตั้งปึ่งทำขึ้งกัน | | จงหมายมั่นราชการอย่าคร้านใจ
|
| ต่างคนทำอำลาหน้าสลด | | ต่างกำสรดหม่นหมองไม่ผ่องใส
|
| แสนโศกเศร้าโศกาด้วยอาลัย | | ต่างก็ไปเตรียมตัวทั่วทุกนาย
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับย่าง | | มาขึ้นช้างพร้อมพหลพลทั้งหลาย
|
| เหลียวหลังดูผู้ที่ต้องไปหนองคาย | | ท่านไม่วายอาวรณ์ถอนฤทัย
|
| ครั้นได้ฤกษ์แล้วให้เบิกกระบวนทัพ | | ยกพลกลับพร้อมกันเสียงหวั่นไหว
|
| พวกกองทัพโยธีต่างดีใจ | | ด้วยจะได้กลับบ้านสำราญมา
|
| พวกชาวเมืองเนืองหน้าออกมาดู | | ยืนเป็นหมู่เรียงรายทั้งซ้ายขวา
|
| บ้างตามส่งกองทัพจนลับตา | | ด้วยคบหารักใคร่พอใจกัน
|
| เดินกองทัพมาทางโพกลางตรง | | พระสุริยงแสงสายรีบผายผัน
|
| พ้นบ้านย่านยาวราวอรัญ | | มุ่งหมายมั่นที่พักสำนักพล
|
| ครั้นถึงที่เขาลาดอาวาสใหญ่ | | หนุดอาศัยสำนักพักพหล
|
| บ้างปลดม้าปลงช้างแล้วต่างคน | | อาศัยต้นร่มไม้ใบกำบัง
|
| ท่านเจ้าคุณอาศัยในศาลา | | อยู่ยังอารามใหญ่ด้วยใจหวัง
|
| พร้อมพหลโยธาประดาดัง | | เข้ายับยั้งอยู่หน้าพระอาราม
|
| ท่านเจ้าคุณมีศรัทธาปัญญายง | | นิมนต์สงฆ์หวังผลกุศลสาม
|
| ทั้งสี่วัดให้มาทั้งอาราม | | ด้วยมีความเจตนาศรัทธาทำ
|
| เชิญพระบรมทนต์สู่บนพาน | | เครื่องสการแลสลอนวางซ้อนสำ
|
| พระสงฆ์มาติกาครบพอจบคำ | | สมภารนำพระขยับสดับปกรณ์
|
| เจ้าคุณถวายปัจจัยให้พระสงฆ์ | | ถ้วนทุกองค์นั่งรับสลับสลอน
|
| แล้วแจกเงินศิษย์วัดจัดเป็นตอน | | ที่ฝึกสอนคิดเขียนร่ำเรียนมา
|
| ครั้นเสร็จสรรพสดับปกรณ์แล้ว | | ก็คลาดแคล้วเข้าในไพรพฤกษา
|
| ออกทุ่งเข้าทางกลางวนา | | พระสุริยาเย็นย่ำลงรำไร
|
| ถึงหนองตะแบกหยุดพักสำนักแรม | | พระจันทร์แจ่มกระจ่างสว่างไสว
|
| เอาเสื่อปูพรมลาดคาดผ้าใบ | | ที่อาศัยแห่งเจ้าคุณและมุลนาย
|
| พวกกองทัพยับยั้งอยู่ทั้งสิ้น | | หุงต้มกินกันเป็นทิวหิวใจหาย
|
| ครั้นเสร็จสรรพหลับนอนผ่อนสบาย | | พอจวนงายแสงสว่างกลางอัมพร
|
| ก็เดินกองทัพมาคับคั่ง | | ไม่รอรั้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน
|
| ถึงสองเนินเดินทุ่งหมายมุ่งจร | | หยุดพักร้อนริมฝั่งน้ำลำตะคลอง
|
| พวกชาวบ้านมาพร้อมพรั่งมาคั่งคับ | | หาสำรับจัดเอาซึ่งข้าวของ
|
| ข้าวเหนียวปั้นปลาร้าผักต้มฟักทอง | | คนละสองสามชามตามกำลัง
|
| เป็นมากมายเหลือเล่ห์คะเนนับ | | เคยได้รับเงินเฟื้องแต่เบื้องหลัง
|
| จึงชักชวนกันมาประดาดัง | | มากกว่าครั้งคราก่อนเมื่อจรมา
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพนับเงินให้ | | พวกลาวได้สมมาดปรารถนา
|
| คนกองทัพยกสำรับทั้งข้าวปลา | | ด้วยเวลาแสบท้องหาของกิน
|
| เมื่อหยุดทัพโยธาพลากร | | ตะวันรอนอ่อนแสงพระสุรีย์สิ้น
|
| ฝนชะอุ่มกลุ้มฟ้าเมฆาฆิน | | ผูกพร้อมหมดคชสินทร์กุญชรชาญ
|
| เคลื่อนโยธีจากที่สำนักพัก | | ดูพร้อมพรักด้วยพหบพลทหาร
|
| ต่างคนเริงรื่นชื่นสำราญ | | เดินไม่นานข้ามน้ำลำตะคลอง
|
| ถึงทางแยกมรคาพระยาไฟ | | แยกหนึ่งไปพระยากลางเป็นทางสอง
|
| ท่านเจ้าคุณการุณไพร่ด้วยใจปอง | | ได้ตรึกตรองไว้แต่เดิมเมื่อเริ่มมา
|
| เพราะเห็นว่าวลาหกตกไม่ห่าง | | จะไปทางพระยาไฟเกรงไข้ป่า
|
| ด้วยทางดงพระยาเย็นเป็นระอา | | กลัวโยธาเดินทางจะวางวาย
|
| เมื่อขึ้นมาพหลมาป่นปี้ | | ถูกไข้ผีป่ากิ้นเสียสิ้นหลาย
|
| เมื่อขากลับจะต้องกันอันตราย | | เดินอยกย้ายมรคาหามงคล
|
| จึงได้ยกพลไพร่ไปโดยทาง | | พระยากลางถึงว่าจะต้องห่าฝน
|
| ก็ไม่เกิดความไข้แก่ไพร่พล | | ทางไม่ย่นติดจะยาวถึงเก้าวัน
|
| เดินทางมาในกลางพนาวาส | | ถึงยังเมืองโคราชดูคับขัน
|
| เป็นเมืองแก่แต่บุราณมานานครัน | | เดี๋ยวนี้นั้นกลายเป็นชาวนาคร
|
| เชิงเทินดินสูงเด่นเช่นผู้เฒ่า | | เป็นเมืองเก่าแรกสร้างแต่ปางก่อน
|
| แข็งแรงกำแพงรอบขอบนคร | | ดูถาวรแต่งตั้งแต่ครั้งใด
|
| เดินทัพเข้าทางผ่านกลางเมือง | | แลชำเลืองพฤกษาป่าไสว
|
| ถามกรมการว่ากว้างทางเท่าไร | | พวกวัดได้ห้าสิบเส้นนับเป็นวา
|
| เดินทางมาไม่นานประมาณครู่ | | ออกประตูตะวันตกรกพฤกษา
|
| เจ้าคุณหยุดช้างอยู่ทำบูชา | | ซึ่งเทวาอารักษ์โดยภักดี
|
| สิงสถิตที่เรืองในเมืองเก่า | | จงช่วยเป่าปัดร้ายในไพรศรี
|
| อย่าให้โทษพารามายายี | | ให้โยธีกองทัพได้อับจน
|
| ครั้นเสร็จทำบูชาศีลาเลื่อน | | รีบคลาเคลื่อนกองทัพมาสับสน
|
| แสวงที่หยุดพักสำนักพล | | พระสุริยนเย็นย่ำลงรำไร
|
| ครั้นถึงหนองบัวบานบ้านแก่นท้าว | | มีหนองยาวเวิ้งว้างทั้งกว้างใหญ่
|
| ก็พักหยุดกองทัพโดยฉับไว | | เป็นสมัยมืดค่ำฝนพรำพรม
|
| พวกชาวบ้านชักพากันมาวุ่น | | หาเจ้าคุณพูดสำเนียงยิ่งเสียงขรม
|
| ว่าอยากเห็นเจ้าคุณบุญอุดม | | ขอเชยชมบุญญาบารมี
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพออกรับหน้า | | เอาเงินตราแจกลาวชาววิถี
|
| แล้วพูดจาถามทักโดยภักดี | | พวกลาวลีลากลับไปฉับพลัน
|
| ครั้นรุ่งแสงสุริยาฟ้าพะยับ | | ยกกองทัพเดินทางกลางไพรสัณฑ์
|
| ไม่หยุดยั้งแรมราราวอารัญ | | พระสุริยันสายแสงแจ้งอัมพร ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงบ้านหนองบัวมีที่ทำเนียบ | | หยุดประเทียบช้างสำนักเข้าพักผ่อน
|
| หุงข้าวปลาหากินทินกร | | จะเร่งร้อนรีบเดินดำเนินพล
|
| เพราะด้วยน้ำเบื้องหน้านั้นหายาก | | จะลำบากแก่สัตว์เพราะขัดสน
|
| ซึ่งโคต่างช้างมาบรรดาคน | | จะอับจนด้วยน้ำจำครรไล
|
| ครั้นเสร็จเสพโภชนาเวลาสาย | | ทั้งไพร่นายพร้อมกันเสียงหวั่นไหว
|
| ก็เร่งผูกช้างม้ารีบคลาไคล | | ยกเข้าในป่ารังไม่รั้งรอ
|
| ก็รีบเดินกองทัพมาฉับเฉียว | | ไม่ลดเลี้ยวมุ่งมาดมาปราดปร๋อ
|
| น้ำไม่มีติดกระบอกจะกรอกคอ | | คนเดินท้อถอยหลังประทังตน
|
| ทินกรร้อนนักบ่ายสักโมง | | ถึงวังโล่งหยุดสำนักพักพหล
|
| มีแอ่งน้ำพอได้อาศัยคน | | แต่เต็มทนกล้ำกลืนเหม็นขื่นคาว
|
| มีอีกแห่งหนึ่งลึกถึงวา | | กว้างสักห้าหกศอกน้ำออกขาว
|
| มีน้ำพออาศัยไม่ใหญ่ยาว | | ปะเมื่อคราวมีการกันดารเดิน
|
| เจ้าคุณบัญชาสั่งทั้งกองทัพ | | ท่านกำชับด้วยทางยังห่างเหิน
|
| น้ำข้างหน้าหายากลำบากเกิน | | ใครอย่าเลินเล่อจิตชีวิตวาย
|
| ตักน้ำใส่กระบอกไปจงให้ทั่ว | | สำหรับตัวจะได้กินสิ้นทั้งหลาย
|
| ด้วยยามแล้งแห้งหมดจะอดตาย | | เร่งขวนขวายน้ำกรอกกระบอกไป
|
| พวกกองทัพรับบัญชาหากระบอก | | บ้างตัดไม่ไผ่ปอกอยู่ขวักไขว่
|
| เสียงเปาะเปกโปกปากถากไวไว | | คนละใบสองกระบอกเสียงออกอึง
|
| ต่างหาน้ำเตรียมตัวทั่วทุกหมู่ | | หยุดพักอยู่วังโล่งสักโมงครึ่ง
|
| สำเร็จกิจทั้งหลายวายคะนึง | | เสร็จแล้วจึงออกเดินดำเนินพล
|
| เจ้าคุณมาบนช้างทางคะนึง | | ร่ำบ่นถึงเทวดาขอฟ้าฝน
|
| ด้วยมาที่แคบคับจวนอับจน | | ด้วยขัดสนด้วยน้ำคิดรำพึง
|
| แล้วคิดถึงคุณทูลกระหม่อมพระจอมเกล้า | | ระลึกเอาเป็นต้นเฝ้าบ่นถึง
|
| ด้วยเป็นที่นับถือไม่ดื้อดึง | | โปรดนำซึ่งวลาหกมาตกลง
|
| ได้อาศัยน้ำฝนคนและสัตว์ | | ไม่ข้องขัดสมตามความประสงค์
|
| จะได้ดับคับแค้นในแดนดง | | ขอฝนจงตกให้ทันในวันเดียว
|
| ก็เร่งเดินรีบรุดไม่หยุดหย่อน | | ถึงบ้านใหม่แกงร้อนโดยฉับเฉียว
|
| พอเกิดลมบ้าหมูมากรูเกรียว | | พอฝนเขียวลมปลิวละลิ่วลอย ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงทำเนียบช้างประเทียบประทับพัก | | หยุดสำนักที่ทำเนียบรอพอสักหน่อย
|
| พิรุณร่วงรุดโรยลงโปรยปรอย | | ฝูงคนคอยมุ่งมองที่รองราย
|
| พอสักครู่ซู่ซ่าลงมาใหญ่ | | ต่างรองได้น้ำฝนคนละหลาย
|
| คนและสัตว์น้อยใหญ่ได้สบาย | | ครั้นฝนหายเหือดพลันในทันใด
|
| ที่ท้องห้วยลำธารในย่านหนทาง | | ท่วมท้องช้างลงพังพาบอาบอาศัย
|
| ทั้งช้างโคกล้ำกลืนได้ชื่นใจ | | มีแรงไปภายหน้าได้วาริน ฯ
|
|
|
| ๏ พอเช้ามืดตีสิบเอ็ดพร้อมเสร็จสรรพ | | ยกกองทัพเดินไปในไพรสิน
|
| รีบเร่งเดินลัดหลีกดังปีกบิน | | ตั้งพักกินข้าวปลาข้างหน้าทาง
|
| ครั้นอรุณรุ่งฟ้าเวลาเช้า | | เกือบจะเข้าปากดงตรงสว่าง
|
| ก็เดินดงตรงผ่าพระยากลาง | | ในหนทางรกหนาลดาวัลย์
|
| ในดงทึบดูทั่วคลุ้มมัวมืด | | เป็นพงพืดซ้อนซับทางคับขัน
|
| เร่งรีบเดินเพลินมาในอารัญ | | รีบผายผันโดยยากออกปากดง
|
| สักสามโมงเศษสังเกตไว้ | | ก็พ้นพงดงใหญ่ไพรระหง
|
| เดินเลียบเนินเขาใหญ่ไถลลง | | หนทางตรงรีบเดินดำเนินพล
|
| ข้ามเขาเหวตาบัวน่ากลัวโข | | ดูใหญ่โตสูงเยี่ยมเทียมเวหน
|
| มีเขาใหญ่สูงชันอยู่ชั้นบน | | แลเหลือบยลแหงนฟ้าดูตาลาย
|
| จำเพาะมีมรคาสองวาศอก | | แลเป็นหมอกมืดมิดใจจิตหาย
|
| ข้างขวามือเขาชันกีดกั้นราย | | ข้างเบื้องซ้ายเหวลึกคิดนึกกลัว
|
| จะลึกสักเท่าไรเร่าไม่รู้ | | ไม่อาจดูขนพองสยองหัว
|
| แม้นตกลงคงเหลวเหวตาบัว | | ระวังตัวพลัดตกหกคะมำ
|
| หนทางเดินลึกไกลไถลตรง | | กลัวช้างลงเดินเลียบเหยียบถลำ
|
| ช้างเดินลากขาหลังมันช่างทำ | | กูบเอียงคว่ำข้างหน้าเมื่อขาลง
|
| ถึงที่ต่ำข้ามลำพระยากลาง | | เข้าเดินทางทิวไม้ไพรระหง
|
| เข้าแขวงเมืองบัวชุมเห็นพุ่มพง | | ตัดทางตรงมาทำเนียบประเทียบพัก
|
| อยู่เชิงเขาบังเหยลมเชยฉ่ำ | | ริมฝั่งน้ำพระยากลางต่างประจักษ์
|
| คนหิวจริงวิงเวียนเจียนจะชัก | | ถึงบ่ายสักสามโมงท้องโล่งมา
|
| ด้วยอดข้าวเช้าหิวใจหวิววุ่น | | จิตฉิวฉุนโมโหเกิดโทสา
|
| บ้างทิ้งหาบผลุงหุงข้าวแล้วเผาปลา | | พวกโยธาพักผ่อนอ่อนกำลัง
|
| เลยพักแรมอยู่นั้นไม่ผันผาย | | ด้วยวัวควายช้างม้าเดินล้าหลัง
|
| ไม่รีบรุดหยุดหย่อนผ่อนประทัง | | ก็ยับยั้งที่นั่นไม่ผันแปร
|
| ครั้นพลบค่ำสนธยาย่ำราตรี | | นั่งชมสีแสงสว่างกระจ่างแข
|
| ค่อยส่างโศกโรครำคาญฤดานแด | | อากาศที่นี่ดีแท้หอมรื่นรวน
|
| ลมพระพายชายเชยรำเพยผิว | | เย็นฉิวฉิวน้ำค้างพรมเมื่อลมหวน
|
| หอมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำกลิ่นลำดวน | | เมื่อจะจวนรุ่งแจ้งแสงหิรัญ
|
| พอสว่างสุริยาส่องอากาศ | | เสร็จคลาคลาดกองทัพโดยคับขัน
|
| เดินทางมรคาพนาวัน | | พระสุริยันแรงร้อนอ่อนกำลัง
|
| ข้ามลำพระยากลางเรียกว่าท่ามะกอก | | แล้วเดินออกทุ่งใหญ่ด้วยใจหวัง
|
| พินิจชมพฤกษาล้วนป่ารัง | | แลสะพรั่งดูเพลินจำเริญใจ
|
| ข้ามลำพระยากลางชื่อว่าท่ามะกอ | | ก็หยุดรอพักร้อนผ่อนอาศัย
|
| ครั้นอ่อนแสงสุริยาก็คลาไคล | | ยกครรไลออกทางชมยางยูง
|
| ข้ามลำน้ำสันนทีต้องปริปาก | | ช้างเดินยากจริงจริงตลิ่งสูง
|
| ลางคนเดินจดจ้องบ้างต้องจูง | | ที่เหล่าฝูงคนเดินเกินระอา ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงท่าปูนแรมสำนักพักอยู่ที่นั่น | | ครั้นสุริยันสว่างกลางเวหา
|
| ก็ออกเดินกองทัพคับคั่งมา | | กำนันพานำทางไม่คลางแคลง
|
| เข้าป่ารังบังร่มพระสุริยน | | เสร็จเดินพลข้ามลำแม่น้ำแห้ง
|
| เรียกลำสันนทีใหญ่ไม่ระแวง | | บ้านประแดงจองกอพอกลางวัน ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงท่าฉางลำสักหยุดพักร้อน | | สโมสรปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
|
| เหล่ากรมการเมืองบัวชุมมากลุ้มกัน | | ของกำนัลมาคำนับรับเจ้าคุณ
|
| เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง | | ซึ่งข้าวของกำนัลไม่หันหุน
|
| ท่านนับเงินตราให้ช่วยใช้ทุน | | มิให้บึญคุณติดด้วยคิดอาย
|
| ซึ่งข้าวสารราคาตั้งให้ถังหนึ่ง | | สองสลึงราคาชาวนาขาย
|
| ซ้ำแจกเงินให้เขาท้ังบ่าวนาย | | ทั้งหญิงชายตามประดามาด้วยกัน
|
| อีกเสื้อผ้าแจกให้ขอบใจเขา | | คิดจะเอาบุญคุณไม่หุนหัน
|
| กรมการดีใจได้รางวัล | | แล้วผายผันเสร็จกลับคำนับลา
|
| ครั้นว่าบ่ายลมตกยกขยับ | | เดินกองทัพเข้าในไพรพฤกษา
|
| เห็นเขาใหญ่ขวางกั้นอรัญญา | | ชื่อเขาตากลิ้งขวางหนทางจร
|
| เห็นคิรีดีแท้แลคล้ายคล้าย | | นึกไม่วายหายกริ่งรูปสิงขร
|
| แลแต่ไกลชอบกลเหมือนคนนอน | | มีกายกรไหล่หัวตัวและมือ
|
| เขาว่าสังกรณีตรีชวา | | บนยอดผาตากริ่งมีจริงหรือ
|
| เป็นแต่คำคนเขามาเล่าลือ | | หาตัวคือใครได้ก็ไม่มี ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงท่าสำโรงสำลักจวนจักค่ำ | | ต่างข้ามน้ำปลื้มเปรมเกษมศรี
|
| ข้ามตรงตื้นพื้นทรายสบายดี | | ดูวารีใสสะอาดมีหาดทราย
|
| เขาว่ามีจระเข้เดรัจฉาน | | ตัวประมาณโตใหญ่ดุใจหาย
|
| ถ้ำมันเนาอยู่ในเขาตากับยาย | | ด้วยเชิงชายเขายั้งกระทั่งธาร
|
| เสร็จข้ามน้ำลำสักหยุดพักเนา | | ริมเชิงเขาตากับยายชายละหาน
|
| เข้าเขตแขวงเมืองไทยไชยบาดาล | | กรมการมาคำนับคอยรับรอง
|
| พักแรมทัพอยู่ที่นั่นไม่ผันผาย | | ครั้นจวนงายพร้อมพรั่งพลทั้งผอง
|
| จวนอรุณรุ่งแจ้งเรื่อแสงทอง | | ออกเดินกองทัพใหญ่ครรไลจร
|
| ถึงที่ห้วยเดินข้ามถึงสามแห่ง | | สุริย์แสงส่องฟ้าระอาอ่อน
|
| กึ่งท่าลาวลำสักพักนิกร | | สำนักผ่อนพอประทังกำลังตน
|
| เหล่าพวกชาวนิคมกรมการ | | ในเมืองไชยบาดาลมาสับสน
|
| พร้อมทั้งบ่าวทั้งนายมาหลายคน | | ด้วยกังวนคอยรับกองทัพมา
|
| เจ้าคุณแจกเงินให้ไม่เสียดาย | | ทั้งบ่าวนายสมมาดปรารถนา
|
| บ่ายลมตกเดินได้ก็ไคลคลา | | ยกโยธากองทัพเลยลับไป
|
| ถึงบ้านโคกถลุงเป็นทุ่งกว้าง | | คนมาสร้างเคหาอยู่อาศัย
|
| มีเรือนหลายสิบหลังชั่งกระไร | | มาอยู่ในกลางป่าทำนากิน
|
| เจ้าคุณเลือกเงินขาวขาวแจกชาวบ้าน | | กระทำทานสุดจะนับเสียทรัพย์สิน
|
| ชาวบ้านได้เงินตราไม่ราคิน | | ต่างคนยินดีได้ดังใจจง ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นกองทัพล่วงพ้นตำบลบ้าน | | เข้าเชิงชานเขาใหญ่ไพรระหง
|
| เป็นเหลี่ยมคูลดหลั่นสูงชันตรง | | ชื่อเขาพระยาเดินธงอยู่ริมทาง
|
| เข้าประเทศเขตเบื้องเมืองพระบาท | | รีบคลาคลาดพ้นเขาลำเนาขวาง
|
| ล้วนป่าไม้ใหญ่สูงต้นยูงยาง | | ต้นแคคางเคี่ยมมะค่าพญารัง
|
| ครั้นถึงหนองกระดี่ที่สำนัก | | ก็แรมพักหยุดทัพคนคับคั่ง
|
| ล้วนอ่อนพับหลับนอนอ่อนประทัง | | ครั้นรุ่งรังสีสว่างกระจ่างพราว
|
| เสร็จคลาเคลื่อนเขยื้อนยกขยับ | | เดินกองทัพโยธีเสียงมี่ฉาว
|
| เหล่าคนเดินพรั่งพรูมากรูกราว | | เสียงฝีเท้าคนสะเทื้อนเมื่อเคลื่อนคลา
|
| เข้าปากดงวังส้มร่มชอุ่ม | | ด้วยยางพุ่มไสวใบพฤกษา
|
| บังแฝงแสงสีสุริยา | | ที่ในป่าดงคลุ้มชอุ่มมัว
|
| ศิลาหลายอย่างต่างต่างสี | | อยู่ในพื้นปฐพีตลอดทั่ว
|
| มาตั้งทำหินได้แล้วไม่กลัว | | คงเอาตัวรอดได้เห็นไม่จน
|
| ไม่ต้องใช้หินฝรั่งแล้วครั้งนี้ | | เมืองไทยมีมากถนัดไม่ขัดสน
|
| ถ้าทำวังทำวัดแล้วจัดคน | | ขึ้นมาขนส่งไปเห็นได้การ
|
| ด้วยหินอ่อนลายสะอาดประหลาดเหลือ | | งามทั้งเนื้อละเอียดดีสีสัณฐาน
|
| มีมากมายหลายล้นพ้นประมาณ | | จะทำบ้านปูวัดไม่ขัดเลย
|
| เจ้าคุณให้คนสำรวจตรวจดูทั่ว | | เก็บเอาตัวอย่างมาไม่ชาเฉย
|
| ให้พวกช่างหินดูที่ผู้เคย | | ก็ชมเชยเนื้อศิลาไม่ราคิน ฯ
|
|
|
| ๏ มาถึงดงบ่อทองมองเขม้น | | ไม่แลเห็นทองจิตคิดถวิล
|
| เขาว่ามีอยู่ในใต้แผ่นดิน | | แต่ล้วนหินคนจะขุดก็สุดแรง
|
| แต่ก่อนมาคนปองขุดทองคำ | | ครั้นทำทำขุดพบกระทบแข็ง
|
| ทั้งโตทั้งหนาศิลาแดง | | เอาชะแลงเข้าขุดสุดกำลัง
|
| สิ้นมานะจึงได้ละไม่ลงขุด | | เพราะสิ้นสุดความคิดที่จิตหวัง
|
| คนเราทุกวันนี้ไม่อินัง | | ทองอยู่ทั้งดงใหญ่ไม่นำพา ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงที่โป่งตะแบกไม่แยกย้าย | | เดินเลียบชายเขาไศลใหญ่หนักหนา
|
| อยู่กลางแจ้งบังแสงพระสุริยา | | สูงเยี่ยมฟ้าแลเป็นควันยอดบรรพต
|
| ครั้นออกจากชายดงเดินตรงมา | | ถึงที่โคกตากฟ้าร้อนปรากฏ
|
| เดินกองทัพฉับเฉียวไม่เลี้ยวลด | | รีบขับคชสารเป็นการไว
|
| ครั้นถึงพุกำจานมีธารน้ำ | | เข้าหยุดสำนักร้อนผ่อนอาศัย
|
| พออ่อนแสงสุริยาก็คลาไคล | | เร่งครรไลรีบร้นมาลนลาน
|
| มาถึงที่พุทธบาทสมมาดหมาย | | ทั้งไพร่นายปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
|
| ต่างคนเอิกเกริกใจเบิกบาน | | และเข้านมัสการพระบาทา
|
| พวกชาวบ้านพร้อมพรั่งมานั่งราย | | หวังจะขายเทียนธูปและบุปผา
|
| ฝ่ายเจ้าเมืองกรมการลนลานมา | | คลานเข้าหาเจ้าคุณอยู่วุ่นวาย
|
| จับปลาแห้งแตงกวามาคำนับ | | เจ้าคุณรับขอบใจเขาไม่หาย
|
| หยิบผ้าเสื้อแจกให้ไม่เสียดาย | | ทั้งบ่าวนายแจกเงินให้ดังใจจง
|
| พักแรมหยุดอยู่ที่พุทธบาทนั้น | | หวังจะวันทาตามความประสงค์
|
| ด้วยท่านเจ้าคุณคิดมีจิตจง | | หวังจำนงในมนัสนมัสการ
|
| ครั้นพร้อมดวงพระหลวงทั้งปวงแล้ว | | ก็คลาดแคล้วขึ้นไปในสถาน
|
| เข้าในโบสถ์บวรรัตน์ชัชวาลย์ | | หัตถ์ประสานโดยสุภาพกราบวันทา
|
| แล้วอาราธนาพระสงฆ์มาองค์หนึ่ง | | สำแดงซึ่งธรรมวิเศษเทศนา
|
| ครั้นเคารพจบคำพระธรรมา | | ถวายผ้ากับปัจจัยไทยทาน
|
| แล้วนิมนต์สงฆ์มาทั้งอาวาส | | วัดพระบาทด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ
|
| เชิญพระทนต์ขึ้นเสร็จเสด็จพาน | | แล้วกราบกรานบังคมบรมทนต์
|
| นิมนต์สงฆ์ทรงสดับปกรณ์ | | แลสลอนพระอันดับนั่งสับสน
|
| ถวายปัจจัยพระไม่ปะปน | | แล้วแจกคนผู้รักษาพระบาโท
|
| เสร็จสรรพกลับมาสู่สำนัก | | ที่แรมพักผ่อนทุกข์เย็นสุโข
|
| ครั้นจวนแจ้งแสงสีสุริโย | | จวนอโณทัยแล้วคลาดแคล้วจร
|
| ออกทางหลวงล่วงพ้นไม่วนวก | | ถึงศาลเจ้าเขาตกเชิงสิงขร
|
| เจ้าคุณเสร็จผันผายถวายพร | | แล้วรีบร้อนเร่งเดินดำเนินพล ฯ
|
|
|
| ๏ มาถึงบางโขมดเห็นโบสถ์วัด | | เจ้าคุณศรัทธาใคร่ได้กุศล
|
| ดำริพลางบัญชาใช้สั่งให้คน | | ไปนิมนต์สงฆ์มาข้างอาราม
|
| ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาท | | ไม่หวั่นหวาดตระหนี่จิตจะคิดขาม
|
| เด็กศิษย์วัดแจกให้เปลืองเงินเฟื้องงาม | | ด้วยมีความศรัทธาปัญญาชาญ ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นมาถึงท่าเรือเหลือวิเศษ | | สว่างเนตรเหมือนถึงซึ่งสถาน
|
| ประดุจดังได้สบพ้องพบพาน | | ซึ่งบุตรหลานภรรยาที่ราแรม
|
| ต่างคนต่างดีใจด้วยไกลบ้าน | | เกษมศานต์สุกใสหัวใจแจ่ม
|
| บ้างพบปะพวกพ้องร้องอ๊ะแฮม | | บ้างยิ้มแย้มทายทักรู้จักกัน
|
| ชาวท่าเรือที่พวกพ้องต้องไปทัพ | | ยืนคอยรับลูกผัวตัวกระสัน
|
| ได้ปะพบกันใหม่ใหม่ชื่นใจครัน | | บางคนนั้นคอยเปล่ายืนเศร้าใจ
|
| พอเขาบอกว่าผัวของตัวตาย | | ลงทอดกายกลิ้งซบสลบไสล
|
| บ้างโหยหวนครวญคร่ำแล้วร่ำไร | | ด้วยผัวไปกองทัพไม่กลับมา
|
| บ้างมีชู้รู้ว่าเจ้าผัวตาย | | ทำฟูมฟายร่ำไรร้องไห้หา
|
| ทำตรอมตรมซมซานด้วยมารยา | | กลัวแต่ว่าผัวหายไม่ตายจริง
|
| แต่ที่แท้นิยมอยากชมชู้ | | ถ้าผัวอยู่กลัวจะนุ่งเกิดยุ่งยิ่ง
|
| เขาบอกว่าผัวตายวายประวิง | | นึกกริ่งกริ่งร้องไห้กลัวไม่ตาย ฯ
|
|
|
| ๏ ครั้นมาถึงศาลาท่าสมเด็จ | | เจ้าคุณเสร็จจรจรัลรีบผันผาย
|
| ต่างคนลงปลงช้างของวางราย | | มุ่งมาดหมายอาศัยในศาลา
|
| ด้วยไม่มีนาวาขึ้นมารับ | | ต้องแรมทัพรอคอยละห้อยหา
|
| คอยดูเรือมารับยิ่งลับตา | | จนเวลาเทศกาลสงกรานต์ไทย
|
| ต้องอยู่ที่ศาลาใหญ่หาเรือ | | รำคาญเหลือหม่นหมองไม่ผ่องใส
|
| ยามสงกรานต์ไม่เป็นสุขสนุกใจ | | สักเมื่อไรเรือจะมาคอยท่านาน
|
| ณวันหนึ่งเรือถึงมาทอดท่า | | ล้วนนาวาจอดเรียงเคียงขนาน
|
| เรือขึ้นมาสอสอเกินพอการ | | ด้วยพวกบ้านหมายใจจะไม่พอ
|
| เรือโตโตขึ้นมาเป็นว่าเล่น | | เจ้าคุณเห็นตกใจนี่ใครหนอ
|
| จัดเรือแพมาชั่งไม่รั้งรอ | | เหมือนเงินบ๋อกระเป๋าอู๋ไม่รู้การ
|
| มิหมายใจว่าเราได้ของกำนัล | | คงสำคัญใจจิตคิดวิตถาร
|
| จะมีอะไรด้วยไปราชการ | | คำโบราณขาว่าตำรามี
|
| ไม่เห็นน้ำรีบรัดตัดกระบอก | | จะต้องออกแรงแบกแหวกวิถี
|
| กระเป๋าอู๋เงินบ๋อก็พอดี | | สมกับที่จัดเรือมาเหลือพาย
|
| ครั้นเรือแพนาวาพร้อมมาเสร็จ | | วันแรมเจ็ดค่ำเดือนห้าเวลาสาย
|
| ท่านเจ้าคุณจัดแจงตบแต่งกาย | | เสร็จผันผายสู่ท่านาวาพลัน
|
| เจ้าคุณลงแล้วบอกให้ออกแจว | | ต่างคลาดแคล้วปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
|
| เรือมาคว้างคว้างพอกลางวัน | | ถึงวังจันทเกษมต่างเปรมปรีดิ์
|
| แลเห็นเรือกลไฟพระภัยรัตน์ | | ท่านได้จัดขึ้นมารับประทับท่า
|
| ฝ่ายว่าเจ้าคุณท่านมีบัญชา | | เข้าจอดหน้าวังจันท์ด้วยทันที
|
| แล้วให้หากรมการเจ้าบ้านเมือง | | มาแจ้งเรื่องกองทัพกลับกรุงศรี
|
| ตามแบบอย่างราชการบุราณมี | | ด้วยบัดนี้กองทัพจะกลับไป
|
| ด้วยว่ามีท้องตราให้หากลับ | | บอกคำนับชี้แจงแถลงไข
|
| แล้วเสร็จออกนาวาล่วงคลาไคล | | เรือกลไฟจูงมาในสาคร
|
| ถึงวัดเชิงจอดประทับเข้ากับท่า | | แวะนาวาจอดเรียงเคียงสลอน
|
| เจ้าคุณขึ้นจ้องจดบทจร | | ชุลีกรพระใหญ่ด้วยใจจง
|
| แล้วเชิญพระบรมทนต์ขึ้นบนวัด | | ด้วยจิตศรัทธาปลื้มไม่ลืมหลง
|
| แจกเงินให้ผู้เฝ้าเหล่าเฮียกง | | นิมนต์สงฆ์หมดมาทั้งอาราม
|
| สดับปกรณ์พระทนต์ยุคลบาท | | พระจอมปราชญ์ซึ่งบำรุงกรุงสยาม
|
| ถวายแผ่อุทิศผลกุศลตาม | | เพราะด้วยความกตัญญูรู้พระคุณ
|
| ครั้นสำเร็จเสร็จตรงลงนาวา | | เรือไฟพาอีกพักใบจักรหมุน
|
| ผลักเรือออกกลางน้ำถ่อค้ำจุน | | ควันไฟกรุ่นกลุ้มมาในสาคร
|
| เรือละลิ่วลิ่วมาเวลาสาย | | แสนสบายสุโขสโมสร
|
| ไม่แวะเวียนแห่งใดครรไลจร | | เร่งรีบร้อนเรือเรื่อยแล่นเฉื่อยมา
|
| เรือเลยพ้นออกจากคลองปากเกร็ด | | เจ้าคุณเข็ดคนจะครหา
|
| เพราะด้วยการท่านไปทางไกลมา | | ไม่เห็นว่ามีสิ่งใดไปให้ปัน
|
| บัญชาให้เรือฉุดรอหยุดจักร | | เข้าจอดพักด้วยอายไม่ผายผัน
|
| จะรีบรัดขัดขวางเป็นกลางวัน | | ด้วยกระชั้นถึงบ้านรำคาญใจ
|
| เข้าจอดรอให้ย่ำค่ำสักหน่อย | | จึงจะค่อยไปให้ถึงจึงจะได้
|
| ครั้นจอดอยู่ช้านานรำคาญใจ | | แล้วเลยไปท่าอิฐคิดบรรเทา
|
| ด้วยมะปรางท่าอิฐติดจะลือ | | จะต้องซื้อไปให้มากได้ฝากเขา
|
| แม้นใครทวงออกปากของฝากเรา | | จะต้องเอามะปรางให้เห็นได้การ
|
| เที่ยวถามซื้อมะปรางใหญ่ก็ไม่พบ | | แจวจนจบทั่วสิ้นพ้นถิ่นบ้าน
|
| ด้วยจวนวายคลายผลไม่ทนทาน | | มะปรางหวานหน้านี้ไม่มีโต
|
| ครั้นจวนเย็นแล้วก็กลับมาฉับพลัน | | ด้วยตะวันจวนจักบ่ายอักโข
|
| สั่งเรือไฟให้ลอยปล่อยบุโล | | ออกแล่นโร่รีบมาเวลากาล ฯ
|
|
|
| ๏ ถึงกรุงเทพทวาราเวลาเย็น | | พอแลเห็นปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
|
| ด้วยไปทัพกลับมานั้นช้านาน | | จะประมาณเจ็ดเดิอนไม่เคลื่อนคลาย
|
| ถึงเดือนห้าแรมแปดค่ำถ้วนคำรบ | | พอดีครบเจ็ดเดือนเหมือนยังหมาย
|
| จิตเอิบอิ่มมาในเรือเหลือสบาย | | ค่อยวางวายทุกข์ใจอาลัยวรณ์ ฯ
|
|
|
| ๏ จบฉบับทัพเรื่องเมืองหนองคาย | | สิ้นจดหมายแกมนิราศคลาดสมร
|
| ซึ่งตัวข้าผู้แต่งแสดงกลอน | | ขออวยพรแต่งไว้เรื่องไปทัพ
|
| ล้วนความจริงไม่แกล้งมาแต่งปด | | ได้จำจดผูกพันจนวันกลับ
|
| ถึงความร้ายการดีที่ลี้ลับ | | ได้สดับเรื่องหมดจำจดมา
|
| ซึ่งบางพวกไม่ได้ขึ้นไปทัพ | | บางคนกลับผูกจิตริษยา
|
| แล้วกล่าวโทษติฉินแกล้งนินทา | | ขอดค่อนว่ากองทัพเสียยับเยิน
|
| ที่เหล่าพวกหูป่าตากะสือ | | ฟังเขาลือเชื่อใจมิได้เขิน
|
| พูดเสริมส่งเลยล้นไปจนเกิน | | อย่าด่วนเพลินเผลอพร่ำพูดลำพัง
|
| คอยผูกใจผูกจิตคอยอิจฉา | | แอบนินทากองทัพอยู่ลับหลัง
|
| ถ้าใครอยากรู้สิ่งที่จริงจัง | | จงวานฟังข้อคำที่รำพัน
|
| ทำอย่างนั้นผิดอย่างนี้ที่ตรงไหน | | ตัดสินให้เที่ยงแท้อย่าแปรผัน
|
| ช่วยตรึกตรองตั้งใจให้เป็นธรรม์ | | อย่าชวนกันนินทามุสาตาม
|
| จงไล่เลียงสืบสวนให้ถ้วนถี่ | | ก็ย่อมมีผู้คนไปล้นหลาม
|
| อย่ากล่าวโทษโฉดเขลาว่าเบาความ | | พูดซุ่มซ่ามโดยเดาเปล่าเปล่าเอย ฯ
|
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment