ระตูปัญจรากันระตูปักมาหงันยอมแพ้อิเหนา
|
|
|
๏ บัดนั้น
|
พวกพลท้าวบุศสิหนา
|
ได้ฟังสองกษัตริย์ตรัสมา
|
จึงวันทาทูลสนองพจมาน
|
มีพวกโจรไพรใจฉกรรจ์
|
บุกบั่นเข้ามาถึงหน้าฉาน*
|
ใครห้ามไม่ฟังอหังการ
|
ไล่ผลาญรี้พลมนตรี
|
แล้วกล่าวคำหยาบช้าท้าทาย
|
บอกว่านายของมันชื่อปันหยี
|
พระอนุชายกทหารไปต้านตี
|
เสียทีมอดม้วยมรณา ฯ
|
ฯ ๖ คำ ฯ
|
๏ เมื่อนั้น
|
สองระตูภูวเรศเชษฐา
|
ได้ฟังดังต้องสายฟ้า
|
ตกประหม่าหน้าซีดลงทันใด
|
น้อยจิตเจ็บอายเสียดายน้อง
|
ให้ขุ่นข้องแค้นขัดอัชฌาสัย
|
มิได้ไต่ถามต่อไป
|
บรรหารให้ตรวจเตรียมโยธี ฯ
|
ฯ ๔ คำ ฯ
|
๏ แล้วบังคมคัลวันทา
|
กล่าวคำอำลาพระฤๅษี
|
โยกจะยกโยธาไปราวี
|
แก้แค้นไพรีอหังการ ฯ
|
ฯ ๒ คำ ฯ
|
๏ เมื่อนั้น
|
องค์สังปะติเหงะฤๅษีสาร
|
เล็งดูรู้ด้วยอภิญญาณ
|
จึงแจ้งการแก่สองกษัตรา
|
อันมิสาระปันหยีนี้ไซร์
|
มิใช่ปัจจุเหร็จโจรป่า
|
คืออิเหนาสุริย์วงศ์เทวา
|
โอรสาองค์ท้าวกุเรปัน
|
ใครอาจหาญต้านต่อรอฤทธิ์
|
จะสุดสิ้นชีวิตอาสัญ
|
จงหยุดยั้งชั่งพระทัยทรงธรรม์
|
อย่าหุนหันฮึกฮักไปชิงชัย ฯ
|
ฯ ๖ คำ ฯ
|
๏ เมื่อนั้น
|
สองระตูผู้มีอัชฌาสัย
|
แต่ออกนามอิเหนาก็ตกใจ
|
ภูวไนยไหวหวั่นครั่นคร้าม
|
จึงคิดว่าดาบสพระองค์นี้
|
เล็งเห็นถ้วนที่เธอจึงห้าม
|
ถ้าจะขืนรณรงค์สงคราม
|
จะซ้ำร้ายตายตามอนุขา
|
คิดพลางทางสนองพระมุนี
|
เอ็นดูโยมครั้งนี้หนักหนา
|
พระคุณล้ำล้นคณนา
|
จะทำตามวาจาพระอาจารย์
|
ว่าแล้วอำลาพระดาบส
|
ลงจากบรรพตไพศาล
|
พร้อมพหลมนตรีบริวาร
|
ไปสถานที่ประทับพลับพลาทอง ฯ
|
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
|
๏ ครั้นถึงที่สำนักตำหนักไพร
|
จึงเสด็จคลาไคลเข้าในห้อง
|
ให้คิดครวญคะนึงถึงพระน้อง
|
ชลเนตรฟูมฟองนองนัยน์
|
แล้วตรัสเรียกสองมเหสี
|
มาเล่าความถ้วนที่แถลงไข
|
ปันหยีนี้มิใช่ชาวไพร
|
คืออิเหนากรุงไกรกุเรปัน
|
ลือนามขามเดชเดชา
|
ทั้งเป็นวงศ์เทวากระยาหงัน
|
แม้นจะยกพลไกรไปโรมรัน
|
ก็จะซ้ำอาสัญเป็นสามคน
|
หากว่าดาบสผู้ทรงญาณ
|
แจ้งการจึงรู้เหตุผล
|
จำจะโอนอ่อนผ่อนปรน
|
จึงจะพ้นภยันอันตราย
|
จะไปออกปันหยีเสียดีกว่า
|
เอาโอรสธิดาไปถวาย*
|
จะได้พึ่งทางธรรม์คุ้งวันตาย
|
โฉมฉายจะเห็นประการใด ฯ
|
ฯ ๑๐ คำ ฯ
|
๏ เมื่อนั้น
|
สองประไหมสุหรีศรีใส
|
นบนิ้วสนองพระภูวไนย
|
พระคิดได้ดังนี้ดีนัก
|
ไปออกแก่มิสาระปันหยี
|
ธานีจะได้พึ่งเป็นแหล่งหลัก
|
เพราะเดชาวงศาสุรารักษ์
|
จะปรากฏยศศักดิ์สืบไป
|
แล้วเรียกราชธิดาเข้ามาสั่ง
|
ลูบหลังลูบหน้าน้ำตาไหล
|
สาวสวรรค์ขวัญข้าวอย่าเศร้าใจ
|
จะได้พึ่งพระองค์วงศ์เทวา ฯ
|
ฯ ๖ คำ ฯ
|
๏ เมื่อนั้น
|
สองบุตรีได้ฟังก็กังขา
|
จึงทูลถามบิตุเรศมารดา
|
ซึ่งตรัสมาไม่แจ้งยังแคลงใจ
|
อันสุริย์วงศ์พงศาสุราฤทธิ์
|
รูปร่างเพี้ยนผิดเราหรือไฉน
|
ไม่อยู่เมืองสวรรค์ด้วยอันใด
|
เรื่องราวอย่างไรแต่แรกมา ฯ
|
ฯ ๔ คำ ฯ
|
๏ เมื่อนั้น
|
สองประไหมสุหรีเสนหา
|
จึงแถลงแจ้งเหตุแก่ธิดา
|
ว่าเดิมเมืองหมันหยาธานี
|
บริบูรณ์พูนสุขสนุกสนาน
|
ดังวิมานเมืองฟ้าในราศี
|
อันระตูผู้ดำรงพระบุรี*
|
มีธิดาทั้งสี่ทรามวัย
|
ท้าวจะใคร่แต่งการสยุมพร
|
กษัตริย์ทุกนครหาควรไม่
|
เมื่อจะมีเหตุนั้นพระขรรค์ชัย
|
กับธงผุดขึ้นในหน้าพระลาน
|
ให้บังเกิดข้าวยากหมากแพง
|
รบกันฟันแทงทุกสถาน
|
ประชาชนฉิบหายวายปราณ
|
ได้ขุ่นเคืองรำคาญเดือดร้อน
|
ระตูทุกข์นักหนักจิต
|
เห็นผิดเยี่ยงอย่างแต่ปางก่อน
|
มาเกิดการกระลีกระลำพร
|
จึงให้ถอนพระขรรค์กับธงชัย
|
ใครจะทำอย่างไรก็ไม่หลุด
|
เอาเชือกฉุดก็ไม่ขาดหวาดไหว
|
จึงให้ตีฆ้องร้องป่าวไป
|
ทั่วในแว่นแคว้นแดนชวา
|
แม้นใครถอนพระขรรค์กับคันธง
|
ขึ้นได้ดังจำนงปรารถนา
|
ท้าวจะให้สมบัติกึ่งพารา
|
ทั้งพระธิดาลาวัณย์
|
กรุงกษัตริย์ทั้งสิ้นก็ยินดี
|
จะใคร่ได้พระบุตรีเฉิดฉัน
|
ยกทัพนับแสนมาแน่นนันต์
|
เข้าถอนธงพระขรรค์ไม่เคลื่อนคลา*
|
จึงอสัญแดหวาทั้งสี่
|
สถิตที่ไกรลาสภูผา*
|
เขมรจากสถานวิมานมา
|
แหล่งแปลงกายาเป็นมนุษย์
|
เข้าในชุมนุมเมืองหมันหยา
|
รูปทรงโสภาผาดผุด
|
จึงจับพระขรรค์กับคันธุช
|
ก็เขยื้อนเคลื่อนหลุดขึ้นทันใด
|
อันสมบัติที่ระตูอนุญาต
|
เทวราชไม่ประสงค์คงคืนให้
|
รับแต่พระธิดาพาไป
|
จึงสร้างสรรค์พิชัยธานี
|
กุเรปันดาหากาหลัง
|
อีกทั้งสิงหัดส่าหรี
|
ต่างเสวยราชย์อยู่ในบุรี
|
มีโอรสบุตรีสืบพงศ์พันธุ์
|
บุญแล้วจึงได้ไปเป็นข้า
|
พระผู้วงศ์เทวากระยาหงัน
|
อย่าละห้อยน้อยใจจาบัลย์
|
จะได้พึ่งทางธรรม์ธิบดี ฯ
|
ฯ ๒๖ คำ ฯ
|
๏ เมื่อนั้น
|
ทั้งสองธิดามารศรี
|
กราบบาทบิตุราชชนนี
|
โศกีครวญคร่ำร่ำไร ฯ
|
ฯ ๒ คำ ฯ
|
โอ้
|
|
๏ โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว
|
ไม่เอ็นดูลูกแล้วหรือไฉน
|
จะสลัดซัดเสียให้จำไกล
|
ตกไปเป็นข้าปัจจามิตร
|
จะมีแต่เกรียมตรมระทมทุกข์
|
เสื่อมสุขโศกเศร้าเปล่าจิต
|
ควรหรือพระองไม่ทรงคิด
|
ช่างปลดปลิดอาลัยไม่เมตตา
|
นิจจาเอ๋ยเคยเข้าอยู่เช้าเย็น
|
จะนับวันว่างเว้นไม่เห็นหน้า
|
ร่ำพลางข้อนทรวงเข้าโศกา
|
ปิ้มว่าชีวิตจะวายปราณ ฯ
|
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
|
ร่าย
|
|
๏ เมื่อนั้น
|
พระบิตุราชมาตุรงค์ก็สงสาร
|
จึงตรัสปลอบธิดายุพาพาล
|
เยาวมาลย์แม่อย่าโศกาลัย
|
อันชนกชนนีนี้รักเจ้า
|
เทียมเท่าชีวาก็ว่าได้
|
ใช่จะแสร้งสลัดซัดเสียไกล
|
เพราะเป็นความจำใจของบิดา
|
ถ้าแม้นมิผันผ่อนฉันนี้
|
อันตรายจะมีไปเมื่อหน้า
|
อย่าขึ้งเคียดเดียดฉันท์เลยขวัญตา
|
เหมือนแทนคุณบิดาช่วยดับร้อน
|
ตรัสพลางทางโรงกันแสงสั่ง
|
โฉมยงจงฟังซึ่งคำสอน
|
ตัวเจ้าจะไปอยู่ด้วยภูธร
|
จงโอนอ่อนอุตส่าห์รักษาตัว
|
สู้เสงี่ยมเจียมจิตคิดว่าข้า
|
อย่าทิฐิถือว่าพระเป็นผัว
|
ยิ่งรักเท่าไรให้ยิ่งกลัว
|
จงหมั่นเฝ้าฝากตัวตามพระทัย ฯ
|
ฯ ๑๐ คำ ฯ
|
๏ แล้วอุ้มพระกุมารขึ้นใส่ตัก
|
พิศพักตร์ลูกน้อยละห้อยไห้
|
สุดสวาทของแม่ผู้ร่วมใจ
|
เจ้าจงไปเป็นเพื่อนพี่นาง
|
ทั้งสามอุตส่าห์รักษากัน
|
อย่าเดียดฉันท์ขุ่นข้องหมองหมาง
|
สี่กษัตริย์ตรัสพลางกันแสงพลาง
|
ปิ้มปางจะสิ้นสมประดี ฯ
|
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
|
๏ ครั้นคลายอาดูรพูนเทวษ
|
สองระตูภูวเรศเรืองศรี
|
จึงเสด็จย่างเยื้องจรลี
|
มายังที่ข้างหน้าพลับพลาพลัน ฯ
|
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
|
๏ ลดองค์ลงนั่งเหนืออาสน์
|
พร้อมหมู่อำมาตย์กิดาหยัน
|
จึงตรัสสั่งเสนีทั้งสี่นั้น
|
จงจัดสรรสิ่งของบรรณาการ
|
จะให้พาโอรสแลบุตรี
|
ไปถวายปันหยีผู้ห้าวหาญ
|
เร่งตระเตรียมเทียมรถราชยาน
|
ถ้วนทุกพนักงานให้พร้อมไว้ ฯ
|
ฯ ๔ คำ ฯ
|
๏ บัดนั้น
|
ทั้งสี่เสนาผู้ใหญ่
|
รับราชบัญชาแล้วคลาไคล
|
ลงไปจากสุวรรณพลับพลา ฯ
|
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
|
๏ จึงจัดบรรณาการสิ่งของ
|
บรรทุกช้างจำลองแลรถา
|
ให้เทียมรถสองราชธิดา
|
ผูกมาสำหรับพระกุมาร
|
แล้วตรวจตรามหาดเล็กขอเฝ้า
|
ทั้งสามเหล่าสับสนอลหม่าน
|
นายไพร่พร้อมกันมิทันนาน
|
มอบหมายเครื่องอานพานทอง ฯ
|
ฯ ๔ คำ ฯ
|
๏ เมื่อนั้น
|
องค์ประไหมสุหรีทั้งสอง
|
พาโอรสบุตรีพี่น้อง
|
ไปยังห้องสรงสหัสธารา ฯ
|
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
|
ชมตลาด
|
|
๏ ให้โฉมยงทรงสุคนธาธาร
|
พระกุมารทรงอุหรับจับมังสา
|
นางนุ่งยกพื้นแดงแย่งนาคา
|
พระน้องทรงภูษาสีต่างกัน
|
นางห่มตาดสุวรรณบรรจง
|
พระน้องฉลององค์ทรงกระสัน
|
พี่นางต่างใส่สังวาลวรรณ
|
พระน้องนั้นประดับทับทรวงทรง
|
นางทรงพาหุรัดตรัสไตร
|
พระน้องใส่ทองกรก่องก่ง
|
พระที่ใส่ไพฑูรย์ธำมรงค์
|
พระน้องทรงมรกตรจนา
|
นางทรงมงกุฎพระบุตรี
|
พระน้องใส่เกี้ยวมณีกรอบหน้า
|
พี่เลี้ยงสาวศรีมีอัชฌา
|
ช่วยแต่งกายาให้บังอร ฯ
|
ฯ ๘ คำ ฯ
|
๏ ครั้นเสด็จทรงเครื่องพระบุตรี
|
สองประไหมสุหรีศรีสมร
|
จึงพาสามโอรสบทจร
|
มาเฝ้าพระภูธรธิบดี ฯ
|
ฯ ๒ คำ ฯ
|
๏ เมื่อนั้น
|
สองราชธิดามารศรี
|
กราบลงแล้วทรงโศกี
|
เทวีสะอื้นไห้ไปมา ฯ
|
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
|
๏ เมื่อนั้น
|
สองกษัตริย์สุริย์วงศ์นาถา
|
เห็นโอรสราชธิดา
|
มาภิวาทวันทาจะลาไป
|
ให้สร้อยเศร้าสลดกำสรดโศก
|
จะวิโยคลูกยาน้ำตาไหล
|
ต่างตรัสอำนวยอวยชัย
|
เจ้าไปเป็นสุขสวัสดี
|
สารพัดไภยันอันตราย
|
อย่าระคายเคืองข้องหมองศรี
|
ว่าพลางย่างเยื้องจรลี
|
ไปส่งพระบุตรีแลโอรส ฯ
|
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
|
๏ ขึ้นเกยที่ประทับฉับพลัน
|
พระพี่น้องโศกศัลย์กำสรด
|
กราบบาทบิตุรงค์ทรงยศ
|
แล้วประณตชนนีชลีลา
|
มาทรงรถที่นั่งบัลลังก์ทอง
|
ชักม่านปิดป้องซ้ายขวา
|
พระกุมารโฉมยงทรงอาชา
|
ไปหน้าราชรถบทจร
|
พร้อมพี่เลี้ยงกำนัลทั้งปวง
|
โขลนจ่าข้าหลวงสลับสลอน
|
แห่แหนแน่นนันต์พนาดร
|
เสนีนำนิกรจรจรัล ฯ *
|
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
|
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment