วัดเจ้าฟ้าอากาศฯ ในนิราศเรื่องนี้ ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า คือวัดใดในปัจจุบัน เส้นการเดินทางของท่านสุนทรภู่ เมื่อไปถึงอยุธยาแล้ว ได้แวะนมัสการหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง แล้วเลยไปวัดใหญ่ชัยมงคลเพื่อค้นหาพระปรอท ก่อนจะออกเดินเท้าไปยังวัดเจ้าฟ้าอากาศฯ ทั้งการค้นหาพระปรอท และวิธีการขุดเอายาอายุวัฒนะ แสดงให้เห็นว่า พระสุนทรภู่ต้องเรียนทางด้านอาคมไสยเวทย์มาไม่น้อย
นิราศวัดเจ้าฟ้า
|
|
กวี : สุนทรภู่
|
|
ประเภท : กลอนนิราศ
|
|
คำประพันธ์ :
กลอนสุภาพ
|
|
สมัย : ต้นรัตนโกสินทร์
|
|
ปีที่แต่ง : ราวรัชกาลที่
๓
|
|
๏ เณรหนูพัดหัดประดิษฐ์คิดอักษร
|
|
เป็นเรื่องความตามติดท่านบิดร
|
กำจัดจรจากนิเวศเชตุพน
|
พอออกเรือเมื่อตะวันสายัณห์ย่ำ
|
ละอองน้ำค้างย้อยเป็นฝอยฝน
|
ตะลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าเมื่อคราวจน
|
ไม่มีคนเกื้อหนุนกรุณา
|
โอ้ธานีศรีอยุธย์มนุษย์แน่น
|
นับโกฏิแสนสาวแก่แซ่ภาษา
|
จะหารักสักคนพอปนยา
|
ไม่เห็นหน้านึกสะอื้นฝืนฤทัย
|
เสียแรงมีพี่ป้าหม่อมน้าสาว
|
ล้วนขาวขาวคำหวานน้ำตาลใส
|
มายามยืดจืดเปรี้ยวไปเจียวใจ
|
เหลืออาลัยลมปากจะจากจร ฯ
|
๏ ถึงวัดระฆังบังคมบรมธาตุ
|
แทบพระบาทบุษบงองค์อัปสร
|
ไม่ทันลับกัปกัลป์พุทธันดร
|
พระด่วนจรสู่สวรรคครรไล
|
ละสมบัติขัตติยาทั้งข้าบาท
|
โอ้อนาถนึกน่าน้ำตาไหล
|
เป็นสูญลับนับปีแต่นี้ไป
|
เหลืออาลัยแล้วที่พระมีคุณ
|
ถึงจนยากบากมาเป็นข้าบาท
|
ไม่ขัดขาดข้าวเกลือช่วยเกื้อหนุน
|
ทรงศรัทธากล้าหาญในการบุญ
|
โอ้พระคุณขาดยศทั้งงดงาม
|
แม้นตกยากพรากพลัดไปขัดข้อง
|
พัดกับน้องหนูตาบจะหาบหาม
|
นี่จนใจในป่าช้าพนาราม
|
สุดจะตามเสด็จได้ดังใจจง
|
ขออยู่บวชกรวดน้ำสุรามฤต
|
อวยอุทิศผลผลาอานิสงส์
|
สนองคุณพูนสวัสดิ์ขัตติย์วงศ์
|
เป็นรถทรงสู่สถานวิมานแมน
|
มีสุรางค์นางขับสำหรับกล่อม
|
ล้วนเนื้อหอมน้อมเกล้าอยู่เฝ้าแหน
|
เสวยรมย์โสมนัสไม่ขัดแคลน
|
เป็นของแทนทานาฝ่าละออง
|
พระคุณเอ๋ยเคยทำนุอุปถัมภ์
|
ได้อิ่มหนำค่ำเช้าไม่เศร้าหมอง
|
แม้นทูลลามากระนี้ทั้งพี่น้อง
|
ไหนจะต้องตกยากลำบากกาย
|
นี่สิ้นบุญทูลกระหม่อมจึงตรอมอก
|
ต้องระหกระเหินไปน่าใจหาย
|
เห็นที่ปลงทรงสูญยังมูลทราย
|
แสนเสียดายดังจะดิ้นสิ้นชีวัน
|
ทั้งหนูตาบกราบไหว้ร้องไห้ว่า
|
จะคมลาลับไปในไพรสัณฑ์
|
เคยเวียนเฝ้าเกล้าจุกให้ทุกวัน
|
สารพันพึ่งพาไม่อนาทร ฯ
|
๏ ถึงปากง่ามนามบอกบางกอกน้อย
|
ยิ่งเศร้าสร้อยทรวงน้องดังต้องศร
|
เหมือนน้อยทรัพย์ลับหน้านิราจร
|
ไปแรมรอนราวไพรใจรัญจวน
|
เคยชมเมืองเรืองระยับจะลับแล้ว
|
ไปชมแถวทุ่งนาล้วนป่าสวน
|
เคยดูดีพี่ป้าหน้านวลนวล
|
จะว่างเว้นเห็นล้วนแต่มอมแมม
|
เคยชมชื่นรื่นรสแป้งสดสะอาด
|
จะชมหาดเห็นแต่จอกกับดอกแขม
|
โอ้ใจจืดมืดเหมือนเมื่อเดือนแรม
|
ไม่เยื้อนแย้มกลีบกลิ่นให้ดิ้นโดย
|
เสียดายดวงพวงผกามณฑาทิพย์
|
เห็นลิบลิบแลชวนให้หวนโหย
|
เพราะห่วงพุ่มภุมรินไม่บินโบย
|
จะร่วงโรยรสสิ้นกลิ่นผกา ฯ
|
๏ ถึงบางพรมพรหมมีอยู่สี่พักตร์
|
คนรู้จักแจ้งจิตทุกทิศา
|
ทุกวันนี้มีมนุษย์อยุธยา
|
เป็นร้อยหน้าพันหน้ายิ่งกว่าพรหม
|
โอ้คิดไปใจหายเสียดายรัก
|
เหมือนเกรียกจักแจกซีกกระผีกผม
|
จึงเจ็บอกฟกช้ำระกำตรม
|
เพราะลิ้นลมล่อลวงจะช่วงใช้ ฯ
|
๏ ถึงบางจากน้องไม่มีที่จะจาก
|
โอ้วิบากกรรมสร้างแต่ปางไหน
|
เผอิญหญิงชิงชังน่าคลั่งใจ
|
จะรักใคร่เขาไม่มีปรานีเลย
|
ถึงบางพลูพลูใบใส่ตะบะ
|
ถวายพระเพราะกำพร้านิจจาเอ๋ย
|
แม้นมีใครใจบุญที่คุ้นเคย
|
จะได้เชยพลูจีบหมากดิบเจียน
|
นี่จนใจได้แต่ลมมาชมเล่น
|
เปรียบเหมือนเช่นฉากฉายพอหายเหียน
|
แม้นเห็นรักจักได้ตามด้วยความเพียร
|
ฉีกทุเรียนหนามหนักดูสักคราว ฯ
|
๏ ถึงบางอ้อคิดจะใคร่ได้ไม้อ้อ
|
ทำแพนซอเสียงแจ้วเที่ยวแอ่วสาว
|
แต่ยังไม่เคยเชยโฉมประโลมลาว
|
สุดจะกล่าวกล่อมปลอบให้ชอบใจ
|
ถึงบางซ่อนซ่อนเงื่อนไม่เยื้อนแย้ม
|
ถึงหนามแหลมเหลือจะบ่งที่ตรงไหน
|
โอ้บางเขนเวรสร้างไว้ปางใด
|
จึงเข็ญใจจนไม่มีที่จะรัก
|
เมื่อชาติหน้ามาเกิดในเลิศโลก
|
ประสิทธิโชคชอบฤทัยทั้งไตรจักร
|
กระจ้อยร่อยกลอยใจวิไลลักษณ์
|
ให้สาวรักสาวกอดตลอดไป ฯ
|
๏ ตลาดแก้วแล้วแต่ล้วนสวนสล้าง
|
เป็นชื่ออ้างออกนามตามวิสัย
|
แม้นขายแก้วแววฟ้าที่อาลัย
|
จะซื้อใส่บนสำลีประชีรอง
|
ประดับเรือนเหมือนหนึ่งเพชรสำเร็จแล้ว
|
ถนอมแก้วกลอยใจมิให้หมอง
|
ไม่เหมือนนึกตรึกตราน้ำตานอง
|
เห็นแต่น้องหนูแนบแอบอุรา ฯ
|
๏ ถึงวัดตั้งฝั่งสมุทรพระพุทธร้าง
|
ว่าท่านวางไว้ให้คิดปริศนา
|
แม้นแก้ไขไม่ออกเอาที่ตอกตา
|
นึกก็น่าใคร่หัวเราะจำเพาะเป็น
|
จะคิดมั่งยังคำที่ร่ำบอก
|
จะไปตอกที่ตรงไหนก็ไม่เห็น
|
ดูลึกซึ้งถึงจะคิดก็มิดเม้น
|
พอยามเย็นยอแสงแฝงโพยม ฯ
|
๏
ถึงวัดเขียนเหมือนหนึ่งเพียรเขียนอักษร
|
กลกลอนกล่าวกล่อมถนอมโฉม
|
เดชะชักรักลักลอบปลอบประโลม
|
ขอให้โน้มน้อมจิตสนิทใน
|
ถึงคลองบางขวางบางศรีทองมองเขม้น
|
ไม่แลเห็นศรีทองที่ผ่องใส
|
แม้นทองคำธรรมดาจะพาไป
|
นี่มิใช่ศรีทองเป็นคลองบาง
|
พอลมโบกโศกสวนมาหวนหอม
|
เหมือนโศกตรอมตรึกตรองมาหมองหมาง
|
ถึงบางแวกแยกคลองเป็นสองทาง
|
เหมือนจืดจางใจแยกไปแตกกัน
|
ตลาดขวัญขวัญฉันนี้ขวัญหาย
|
ใครเขาขายขวัญหรือจะซื้อขวัญ
|
แม้นขวัญฟ้าหน้าอ่อนเหมือนท่อนจันทน์
|
จะรับขวัญเช้าเย็นไม่เว้นวาง
|
ถึงบางขวางขวางอื่นสักหมื่นแสน
|
ถึงต่างแดนดงดอนสิงขรขวาง
|
จะตามไปให้ถึงห้องประคองคาง
|
แต่ขัดขวางขวัญความขามระคาย
|
เห็นสวาทขาดทิ้งกิ่งสนัด
|
เป็นรอยตัดต้นสวาทให้ขาดสาย
|
สวาทพี่นี้ก็ขาดสวาทวาย
|
แสนเสียดายสายสวาทที่ขาดลอย
|
เห็นรักน้ำพร่ำออกทั้งดอกผล
|
ไม่มีคนรักรักมาหักสอย
|
เป็นรักเปล่าเศร้าหมองเหมือนน้องน้อย
|
เที่ยวล่องลอยเรือรักจนหนักเรือ ฯ
|
๏ ถึงบ้านบางธรณีแล้วพี่จ๋า
|
แผ่นสุธาก็ไม่ไร้ไม้มะเขือ
|
เขากินหมูหนูพัดจะกัดเกลือ
|
ไม่ถ่อเรือแหหาปลาตำแบ
|
ถึงปากเกร็ดเตร็ดเตร่มาเร่ร่อน
|
เที่ยวสัญจรตามระลอกเหมือนจอกแหน
|
มาถึงเกร็ดเขตมอญสลอนแล
|
ลูกอ่อนแอ้อุ้มจูงพะรุงพะรัง
|
ดูเรือนไหนไม่เว้นเห็นลูกอ่อน
|
ไม่หยุดหย่อนอยู่ไฟจนไหม้หลัง
|
ไม่ยิ่งยอดปลอดเปล่าเหมือนชาววัง
|
ล้วนเปล่งปลั่งปลื้มใจมาไกลตา ฯ
|
๏ พอออกคลองล่องลำแม่น้ำวก
|
เห็นนกหกเหินร่อนว่อนเวหา
|
กระทุงทองล่องเลื่อนค่อยเคลื่อนคลา
|
ดาษดาดอกบัวขาวคลัวเคลีย
|
นกกาน้ำดำปลากระสาสูง
|
เป็นฝูงฝูงเข้าใกล้มันไปเสีย
|
นกยางขาวเหล่านกยางมีหางเปีย
|
ล้วนตัวเมียหมดสิ้นทั้งดินแดน
|
ถึงเดือนไข่ไปลับแลเมืองแม่ม่าย
|
ขึ้นไข่ชายเขาโขดนับโกฏิแสน
|
พอบินได้ไปประเทศทุกเขตแคว้น
|
คนทั้งแผ่นดินมิได้ไข่นกยาง
|
โอ้นึกหวังสังเวชประเภทสัตว์
|
ต้องขาดขัดคู่ครองจึงหมองหมาง
|
เหมือนอกชายหมายมิตรคิดระคาง
|
มาอ้างว้างอาทะวาเอกากาย ฯ
|
๏ ถึงบ้านลาวเห็นแต่ลาวพวกชาวบ้าน
|
ล้วนหูยานอย่างบ่วงเหมือนห่วงหวาย
|
ไม่เหมือนลาวชาวกรุงที่นุ่งลาย
|
ล้วนกรีดกรายหยิบหย่งทรงสำอาง
|
ถึงบางพูดพูดมากคนปากหมด
|
มีแต่ปดเป็นอันมากเขาถากถาง
|
พี่พูดน้อยค่อยประคิ่นลิ้นลูกคาง
|
เหมือนหญิงช่างฉอเลาะปะเหลาะชาย ฯ
|
๏ ถึงบางกระไนได้เห็นหน้าบรรดาพี่
|
พวกนารีเรืออ้อยเที่ยวลอยขาย
|
ดูจริตติดจะงอนเป็นมอญกลาย
|
ล้วนแต่งกายกันไรเหมือนไทยทำ
|
แต่ไม่มีกิริยาด้วยผ้าห่ม
|
กระพือลมแล้วไม่ป้องปิดของขำ
|
ฉันเตือนว่าผ้าแพรลงแช่น้ำ
|
อ้อยสองลำนั้นจะเอาสักเท่าไร
|
เขารู้ตัวหัวร่อว่าพ่อน้อย
|
มากินอ้อยแอบแฝงแถลงไข
|
รู้กระนี้มิอยากบอกมิออกไย
|
น่าเจ็บใจจะต้องจำเป็นตำรา ฯ
|
๏
ถึงไผ่รอบขอบเขื่อนดูเหมือนเขียน
|
ชื่อวัดเทียนถวายอยู่ฝ่ายขวา
|
ข้างซ้ายมือชื่อบ้านใหม่ทำไร่นา
|
นางแม่ค้าขายเต่าสาวทึมทึก
|
ปิดกระหมับจับกระเหม่าเข้ามินหม้อ
|
ดูมอซอสีสันเป็นมันหมึก
|
ไม่เหมือนเหล่าชาวสวนหวนรำลึก
|
เมื่อไม่นึกแล้วก็ใจมิใคร่ฟัง ฯ
|
๏ พอฟ้าคล้ำค่ำพลบเสียงกบเขียด
|
ร้องกรีดเกรียดเกรียวแซ่ดังแตรสังข์
|
เหมือนเสียงฆ้องกลองโหมประโคมวัง
|
ไม่เห็นฝั่งฟั่นเฟือนด้วยเดือนแรม
|
ลำภูรายชายตลิ่งล้วนหิ่งห้อย
|
สว่างพรอยแพร่งพรายขึ้นปลายแขม
|
อร่ามเรืองเหลืองงามวามวามแวม
|
กระจ่างแจ่มจับน้ำเห็นลำเรือ ฯ
|
๏
ถึงย่านขวางบางทะแยงเป็นแขวงทุ่ง
|
ดูเวิ้งวุ้งหว่างละแวกล้วนแฝกเฝือ
|
เห็นไรไรไม้พุ่มครุมครุมเครือ
|
เหมือนรูปเสือสิงโตรูปโคควาย
|
ท่านบิดรสอนหนูให้รู้ว่า
|
มันผินหน้าออกนั้นกันฉิบหาย
|
แม้นปากมันผันเข้าข้างเจ้านาย
|
จะล้มตายพรายพลัดเร่งตัดรอน
|
จารึกไว้ให้เป็นทานทุกบ้านช่อง
|
ฉันกับน้องนี้ได้จำเอาคำสอน
|
ดึกกำดัดสัตว์หลับประทับนอน
|
ที่วัดมอญเชิงรากริมปากคลอง
|
ต้นไทรครึ้มงึ้มเงียบเซียบสงัด
|
พระพายพัดแผ้วผ่าวหนาวสยอง
|
เป็นป่าช้าอาวาสปีศาจคะนอง
|
ฉันพี่น้องมิได้คลาดบาทบิดา
|
ท่านนอนหลับตรับเสียงสำเนียงเงียบ
|
เย็นยะเยียบเยือกสยองพองเกศา
|
เสียงผีผิวหวิวโหวยโหยวิญญาณ์
|
ภาวนาหนาวนิ่งไม่ติงกาย
|
บรรดาศิษย์บิดรที่นอนนอก
|
ผีมันหลอกลากปล้ำพลิกคว่ำหงาย
|
ลุกขึ้นบอกกลอกกลัวทุกตัวนาย
|
มันสาดทรายกรวดโปรยเสียงโกรยกราว
|
ขึ้นสั่นไทรไหวยวบเสียงสวบสาบ
|
เป็นเงาวาบหัวหกเห็นอกขาว
|
หนูกลั่นกล้าคว้าได้รากไทรยาวู
|
หมายว่าสาวผมผีร้องนี่แน
|
พอพระตื่นฟื้นกายค่อยคลายจิต
|
บรรดาศิษย์ล้อมข้างไม่ห่างแห
|
ท่านห่มดองครองเคร่งไม่เล็งแล
|
ขึ้นบกแต่องค์เดียวดูเปลี่ยวใจ
|
สำรวมเรียบเลียบรอบขอบป่าช้า
|
ภาวนาตามสงฆ์ไม่หลงใหล
|
เห็นศพฝังบังสุกุลส่งบุญไป
|
เห็นแสงไฟรางรางสว่างเวียน
|
ระงับเงียบเซียบเสียงสำเนียงสงัด
|
ปฏิพัทธ์พุทธคุณค่อยอุ่นเศียร
|
บรรดาศิษย์คิดกล้าต่างหาเทียน
|
จำเริญเรียนรุกขมูลพูนศรัทธา
|
อสุภธรรมกรรมฐานประหารเหตุ
|
หวนสังเวชว่าชีวังจะสังขาร์
|
อันอินทรีย์วิบัติอนัตตา
|
ที่ป่าช้านี่แลเหมือนกับเรือนตาย
|
กลับหายกลัวมัวเมาไม่เข้าบ้าน
|
พระนิพพานเพิ่มพูนเพียงสูญหาย
|
อันรูปเหมือนเรือนโรคให้โศกสบาย
|
แล้วต่างตายตามกันไปมั่นคง
|
ค่อยคิดเห็นเย็นเยียบไม่เกรียบกริบ
|
ประสานสิบนิ้วนั่งดังประสงค์
|
พยายามตามจริตท่านบิตุรงค์
|
สำรวมทรงศีลธรรมที่จำเจน
|
ประจงจดบทบาทค่อยยาตรย่าง
|
ประพฤติอย่างโยคามหาเถร
|
ประทับทุกรุกรอบขอบพระเมรุ
|
จนพระเณรในอารามตื่นจามไอ
|
ออกจงกรมสมณาสมาโทษ
|
ร่มนิโรธน้องไม่เสื่อมที่เลื่อมใส
|
แผ่กุศลจนจบทั้งภพไตร
|
จากพระไทรแสงทองผ่องโพยม ฯ
|
๏ เลยบางหลวงล่วงทางมากลางแจ้ง
|
ถึงบ้านกระแชงหุงจันหันฉันผักโหม
|
ยังถือมั่นขันตีนี้ประโลม
|
ถึงรูปโฉมพาหลงไม่งงงวย
|
พอเสียงฆ้องกองแซ่เขาแห่นาค
|
ผู้หญิงมากมอญเก่าสาวสาวสวย
|
ร้องลำนำรำฟ้อนอ่อนระทวย
|
พากันช่วยเขาแห่ได้แลดู
|
ถือขันตีทีนั้นก็ขันแตก
|
ทั้งศีลแทรกสูดออกกระบอกหู
|
ฉันนี้เคราะห์เพราะนางห่มสีชมพู
|
พาความรู้แพ้รักประจักษ์จริง
|
แค้นด้วยใจนัยนานิจจาเอ๋ย
|
กระไรเลยแล่นไปอยู่กับผู้หญิง
|
ท่านบิดาว่ามันติดกว่าปลิดปลิง
|
ถูกจริงจริงจึงจดเป็นบทกลอน ฯ
|
๏ ถึงต้องง้าวหลาวแหลนสักแสนเล่ม
|
ให้ติดเต็มตัวฉุดพอหลุดถอน
|
แต่ต้องตาพาใจอาลัยวรณ์
|
สุดจะถอนทิ้งขว้างเสียกลางคัน
|
ทั้งหนูกลั่นนั้นคะนองจะลองทิ้ง
|
บอกให้หญิงรำรับขยับหัน
|
ถ้าทิ้งถูกลูกละบาทประกาศกัน
|
เขารับทันเราก็ให้ใบละเฟื้อง
|
นางน้อยน้อยพลอยสนุกลุกขึ้นพร้อม
|
งามละม่อมมีแต่สาวล้วนขาวเหลือง
|
ใส่จริตกรีดกรายชายชำเลือง
|
ขยับเยื้องยิ้มแย้มแฉล้มลอย
|
ต่างหมายมุ่งตุ้งติ้งทิ้งหมากดิบ
|
เขาฉวยฉิบเฉยหน้าไม่ราถอย
|
ไม่มีถูกลูกดิ่งทั้งทิ้งทอย
|
พวกเพื่อนพลอยทิ้งบ้างห่างเป็นวา
|
ฉันลอบลองสองลูกถูกจำหนับ
|
ถูกปุ่มปับปากกรีดหวีดผวา
|
ร้องอยู่แล้วแก้วพี่มานี่นา
|
พวกมอญฮาโห่แห่ออกแซ่ไป ฯ
|
๏ พอเลยนาคบากข้ามถึงสามโคก
|
เป็นคำโลกสมมติสุดสงสัย
|
ถามบิดาว่าผู้เฒ่าท่านกล่าวไว้
|
ว่าท้าวไทพระอู่ทองเธอกองทรัพย์
|
หวังจะไว้ให้ประชาเป็นค่าจ้าง
|
ด้วยจะสร้างบ้านเมืองเครื่องประดับ
|
พอห่ากินสิ้นบุญไปสูญลับ
|
ทองก็กลับกลายสิ้นเป็นดินแดง
|
จึงที่นี่มีนามชื่อสามโคก
|
เป็นคำโลกสมมติสุดแถลง
|
ครั้งพระโกศโปรดปรานประทานแปลง
|
ที่ตำแหน่งมอญมาสามิภักดิ์
|
ชื่อปทุมธานีที่เสด็จ
|
เดือนสิบเบ็ดบัวออกทั้งดอกฝัก
|
มารับส่งตรงนี้ที่สำนัก
|
พระยาพิทักษ์ทวยหาญผ่านพารา
|
ได้รู้เรื่องเมืองปทุมค่อยชุ่มชื่น
|
ดูภูมิพื้นวัดบ้านขนานหน้า
|
เห็นพวกชายฝ่ายมอญแต่ก่อนมา
|
ล้วนสักขาเขียนหมึกจารึกพุง
|
ฝ่ายสาวสาวเกล้ามวยสวยสะอาด
|
แต่ขยาดอยู่ว่านุ่งผ้าถุง
|
ทั้งห่มผ้าตาหรี่เหมือนสีรุ้ง
|
ทั้งผ้านุ่งนั้นก็อ้อมลงกรอมตีน
|
เมื่อยกเท้าก้าวย่างสว่างแวบ
|
เหมือนฟ้าแลบแลผาดแทบขาดศีล
|
นี่หากเห็นเป็นเด็กแม้นเจ๊กจีน
|
เจียนจะปีนซุ่มซ่ามไปตามนาง
|
ชาวบ้านนั้นปั้นอีเลิ้งใส่เพิงพะ
|
กระโถนกระทะอ่างโอ่งกระโถงกระถาง
|
เขาวานน้องร้องถามไปตามทาง
|
ว่าบางขวางหรือไม่ขวางพี่นางมอญ
|
เขาเบือนหน้าว่าไม่รู้ดูเถิดเจ้า
|
จงถามเขาคนข้างหลังที่นั่งสอน
|
ไม่ตอบปากบากหน้านาวาจร
|
คารมมอญมิใช่เบาเหมือนชาวเมือง ฯ
|
๏ ถึงบ้านงิ้วงิ้วต้นแต่พ้นหนาม
|
ไม่งอกงามเหมือนแม่งิ้วที่ผิวเหลือง
|
เมื่อแลพบหลบพักตร์ลักชำเลือง
|
ดูปลดเปลื้องเปล่งปลั่งกำลังโลม
|
มาลับนวลหวนให้เห็นไม้งิ้ว
|
เสียดายผิวพักตร์ผ่องจะหมองโฉม
|
เพราะเสียรักหนักหน่วงน่าทรวงโทรม
|
ใครจะโลมเลียมรสช่วยชดเจือฯ
|
๏ ถึงโพแตงคิดถึงแตงที่แจ้งจัก
|
ดูน่ารักรสชาติประหลาดเหลือ
|
แม้นลอยฟ้ามาเดี๋ยวนี้ที่ในเรือ
|
จะฉีกเนื้อนั่งกลืนให้ชื่นใจ ฯ
|
๏ ถึงเกาะหาดราชครามรำรามรก
|
เห็นนกหกหากินบินไสว
|
เขาถากถางกว้างยาวทั้งลาวไทย
|
ทำนาไร่ร้านผักรั้วฟักแฟง
|
สุดละเมาะเกาะกว้างสว่างโว่ง
|
แลตะโล่งลิบเนตรทุกเขตแขวง
|
เห็นควันไฟไหม้ป่าจับฟ้าแดง
|
ฝูงนกแร้งร่อนตัวเท่าถั่วดำ
|
โอ้เช่นนี้มีคู่มาดูด้วย
|
จะชื่นช่วยชมชิมได้อิ่มหนำ
|
มายามเย็นเห็นแต่ของที่น้องทำ
|
เหลือจะรำลึกโฉมประโลมลาน ฯ
|
๏ ถึงด่านทางบางไทรไขว่เฉลว
|
เห็นไพร่เลวหลายคนอยู่บนด่าน
|
ตุ้งก่าตั้งนั่งชักควักน้ำตาล
|
คอยว่าขานขู่คนลงค้นเรือ
|
ไม่เห็นของต้องห้ามก็ลามขอ
|
มะละกอกุ้งแห้งแตงมะเขือ
|
ขอส้มสูกจุกจิกทั้งพริกเกลือ
|
จนชาวเรือเหลือระอาด่าในใจ
|
แต่ลำเราเขาไม่ค้นมาพ้นด่าน
|
ดูภูมิฐานทิวชลาพฤกษาไสว
|
ถึงอารามนามอ้างวัดบางไทร
|
ต้นไทรใหญ่อยู่ที่นั่นน้องวันทา
|
เทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตพุ่ม
|
เพราะเคยอุ้มอุณรุทสมอุษา
|
ใคร่น่าจูบรูปร่างเหมือนนางฟ้า
|
ช่วยอุ้มพามาให้เถิดจะเชิดชม
|
ถนอมแนบแอบอุ้มนุ่มนุ่มนิ่ม
|
ได้แย้มยิ้มจวนจิตสนิทสนม
|
นอนเอนหลังนั่งเล่นเย็นเย็นลม
|
ชมพนมแนวไม้รำไรราย
|
ดูเหย้าเรือนเหมือนเขียนเตียนตลิบ
|
เห็นลิบลิบแลไปจิตใจหาย
|
เขาปลูกผักฟักถั่วจูงวัวควาย
|
ชมสบายบอกแจ้งตำแหน่งนาม ฯ
|
๏ ถึงเกาะเกิดเกิดสวัสดิ์พิพัฒน์ผล
|
อย่าเกิดคนติเตียนเป็นเสี้ยนหนาม
|
ให้เกิดลาภราบเรียบเงียบเงียบงาม
|
เหมือนหนึ่งนามเกาะเกิดประเสริฐทรง
|
ถึงเกาะพระไม่เห็นพระปะแต่เกาะ
|
แต่ชื่อเพราะชื่อพระสละหลง
|
พระของน้องนี้ก็นั่งมาทั้งองค์
|
ทั้งพระสงฆ์เกาะพระมาประชุม
|
ขอคุณพระอนุเคราะห์ทั้งเกาะพระ
|
ให้เปิดปะตรุทองสักสองขุม
|
คงจะมีพี่ป้ามาชุมนุม
|
ฉะอ้อนอุ้มแอบอุราเป็นอาจิณ ฯ
|
๏
ถึงเกาะเรียงเคียงคลองเป็นสองแยก
|
ป่าละแวกวังราชประพาสสินธุ์
|
ได้นางห้ามงามพร้อมชื่อหม่อมอิน
|
จึงตั้งถิ่นที่เพราะเสนาะนาม
|
หวังถวิลอินน้องละอองเอี่ยม
|
แสนเสงี่ยมงามพร้อมเหมือนหม่อมห้าม
|
จะหายศอตส่าห์พยายาม
|
คงจะงามพักตร์พร้อมเหมือนหม่อมอิน
|
อาลัยน้องตรองตรึกรำลึกถึง
|
หวังจะพึ่งผูกจิตคิดถวิล
|
เวลาเย็นเห็นนกวิหคบิน
|
ไปที่ถิ่นทำรังปะนังนอน
|
บ้างแนบคู่ชูคอเข้าซ้อแซ้
|
เสียงจอแจโจนจับสลับสลอน
|
บ้างคลอเข้าเคล้าเคียงประเอียงอร
|
เอาปากป้อนปีกปกอกประคอง
|
ที่ไร้คู่อยู่เปลี่ยวเที่ยวเดี่ยวโดด
|
ไม่เต้นโลดแลเหงาเหมือนเศร้าหมอง
|
ลูกน้อยน้อยคอยแม่ชะแง้มอง
|
เหมือนอกน้องตาบน้อยกลอยฤทัย
|
มาตามติดบิดากำพร้าแม่
|
สุดจะแลเหลียวหาที่อาศัย
|
เห็นลูกนกอกน้องนี้หมองใจ
|
ที่ฝากไข้ฝากผีไม่มีเลย
|
ถึงเกาะเรียนเรียนรักก็หนักอก
|
แสนวิตกเต็มตรองเจียวน้องเอ๋ย
|
เมื่อเรียนกันจนจบถึงกบเกย
|
ไม่ยากเลยเรียนได้ดังใจจง
|
แต่เรียนรักรักนักก็มักหน่าย
|
รักละม้ายมิได้ชมสมประสงค์
|
ยิ่งรักมากพากเพียรยิ่งเวียนวง
|
มีแต่หลงลมลวงน่าทรวงโทรม ฯ
|
๏ มาถึงวัดพนังเชิงเทิงถนัด
|
ว่าเป็นวัดเจ้าฟ้าพระกลาโหม
|
ผนังก่อย่อมุมเป็นซุ้มโคม
|
ลอยโพยมเยี่ยมฟ้านภาลัย
|
มีศาลาท่าน้ำดูฉ่ำชื่น
|
ร่มระรื่นรุกขาน่าอาศัย
|
บิดาพร่ำร่ำเล่าให้เข้าใจ
|
ว่าพระใหญ่อย่างเยี่ยงที่เสี่ยงทาย
|
ถ้าบ้านเมืองเคืองเข็ญจะเป็นเหตุ
|
ก็อาเพศพังหลุดทรุดสลาย
|
แม้พาราผาสุกสนุกสบาย
|
พระพักตร์พรายเพราพริ้มดูอิ่มองค์
|
แต่เจ็กย่านบ้านนั้นก็นับถือ
|
ร้องเรียกชื่อว่าพระเจ้าปูนเถาก๋ง
|
ด้วยบนบานการได้ดังใจจง
|
ฉลององค์พุทธคุณกรุณัง
|
แล้วก็ว่าถ้าใครน้ำใจบาป
|
จะเข้ากราบเกรงจะทับต้องกลับหลัง
|
ตรงหน้าท่าสาชลเป็นวนวัง
|
ดูพลั่งพลั่งพลุ่งเชี่ยวน่าเสียวใจ
|
เข้าจอดเรือเหนือหน้าศาลาวัด
|
โสมนัสน้องไม่เสื่อมที่เลื่อมใส
|
ขึ้นเดินเดียวเที่ยวหาสุมาลัย
|
จำเพาะได้ดอกโศกที่โคกนา
|
กับดอกรักหักเด็ดได้เจ็ดดอก
|
พอใส่จอกจัดแจงแบ่งบุปผา
|
ให้กลั่นมั่งทั้งบุนนาคเพื่อนยากมา
|
ท่านบิดาดีใจกระไรเลย
|
ว่าโศกรักมักร้ายต้องพรายพลัด
|
ถวายวัดเสียถูกแล้วลูกเอ๋ย
|
แล้วห่มดองครองงามเหมือนตามเคย
|
ลีลาเลยเลียบตะพานขึ้นลานทราย
|
โอ้รินรินกลิ่นพิกุลมาฉุนชื่น
|
หอมแก้วรื่นเรณูไม่รู้หาย
|
หอมจำปาหน้าโบสถ์สาโรชราย
|
ดอกกระจายแจ่มกลีบดังจีบเจียน
|
ดูกุฎีวิหารสะอ้านสะอาด
|
รุกขชาติพุ่มไสวเหมือนไม้เขียน
|
ดูภูมิพื้นรื่นราบด้วยปราบเตียน
|
แล้วเดินเวียนทักษิณพระชินวร
|
ได้สามรอบชอบธรรมท่านนำน้อง
|
เข้าในห้องเห็นพระเจ้าเท่าสิงขร
|
ต่างจุดธูปเทียนถวายขจายจร
|
ท่านบิดรได้ประกาศว่าชาตินี้
|
ทั้งรูปชั่วตัวดำทั้งต่ำศักดิ์
|
ถวายรักไว้กับศีลพระชินสีห์
|
ต่อเมื่อไรใครรักมาภักดี
|
จะอารีรักตอบด้วยขอบคุณ
|
แต่หนูกลั่นนั้นว่าจะหาสาว
|
ที่เล็บยาวโง้งโง้งเหมือนโก่งกระสุน
|
ทั้งเนื้อหอมกล่อมเกลี้ยงเพียงพิกุล
|
กอดให้อุ่นอ่อนก็ว่าไม่น่าฟัง
|
ฉันกับน้องมองแลดูแต่พระ
|
สาธุสะสูงกว่าฝาผนัง
|
แต่พระเพลาเท่าป้อมที่ล้อมวัง
|
สำรวมนั่งปลั่งเปล่งเพ่งพินิจ
|
ตัวของหนูดูจิ๋วเท่านิ้วพระหัตถ์
|
โตถนัดหนักนักจึงศักดิ์สิทธิ์
|
ศิโรราบกราบก้มบังคมคิด
|
รำพึงพิษฐานในใจจินดา
|
ขอเดชะพระกุศลที่ปรนนิบัติ
|
ที่หนูพัดพิศวาสพระศาสนา
|
มาเคารพพบพุทธปฏิมา
|
เป็นมหาอัศจรรย์ในสันดาน
|
ขอผลาอานิสงส์จงสำเร็จ
|
สรรเพชญ์พ้นหลงในสงสาร
|
แม้นยังไม่ถึงที่พระนิฤพาน
|
ขอสำราญราคีอย่าบีฑา
|
จะพากเพียรเรียนวิสัยแต่ไตรเพท
|
ให้วิเศษแสนเอกทั้งเลขผา
|
แม้นรักใครให้คนนั้นกรุณา
|
ชนมายืนเท่าเขาพระเมรุ
|
ขอรู้ทำคำแปลแก้วิมุติ
|
เหมือนพระพุทธโฆษามหาเถร
|
มีกำลังดังมาฆะสามเณร
|
รู้จัดเจนแจ้งจบทั้งภพไตร
|
อนึ่งเล่าเจ้านายที่หมายพึ่ง
|
ให้ทราบซึ่งสุจริตพิสมัย
|
อย่าหลงลิ้นหินชาติขาดอาลัย
|
น้ำพระทัยทูลเกล้าให้ยาวยืน
|
แล้วลาพระปฏิมาลีลาล่อง
|
เข้าในคลองสวนพลูค่อยชูชื่น
|
ชมแต่ไม้ไผ่พุ่มดูชุ่มชื้น
|
หอมระรื่นลำดวนรัญจวนใจ
|
โอ้ยามนี้มิได้พบน้ำอบสด
|
มาเชยรสบุปผาน้ำตาไหล
|
ยิ่งเสียวทรวงง่วงเหงาเศร้าฤทัย
|
มาเหงื่อไคลคล่ำตัวต้องมัวมอม
|
นิจจาเอ๋ยเคยบำรุงผ้านุ่งห่ม
|
เคยอบรมร่ำกลิ่นไม่สิ้นหอม
|
เหมือนหายยศหมดรักมาปลักปลอม
|
จนซูบผอมผิวคล้ำระกำใจ
|
จึงมาหายาอายุวัฒนะ
|
ตามได้ปะลายแทงแถลงไข
|
เข้าลำคลองล่องเรือมาเหลือไกล
|
ถึงวัดใหญ่ชายทุ่งดูวุ้งเวิ้ง ฯ
|
๏ พระเจดีย์ที่ยังอยู่ดูตระหง่าน
|
เป็นประธานทิวทุ่งดูสูงเทิ่ง
|
ต้นโพธิ์ไทรไผ่พุ่มเป็นซุ้มเซิง
|
ขึ้นรอบเชิงชั้นล่างข้างเจดีย์
|
เสียดายนักหักทรุดชำรุดร้าง
|
ใครจะสร้างสูงเกินจำเริญศรี
|
ท่านบิดาว่าถึงให้ใหญ่กว่านี้
|
ก็ไม่มีผู้ใดว่าใหญ่โต
|
ผู้หญิงย่านบ้านเราชาวบางกอก
|
เขาอมกลอกกลืนพระเสียอะโข
|
แต่พระเจ้าเสาชิงช้าที่ท่าโพธิ์
|
ก็เต็มโตชาววังเขายังกลืน
|
ฉันกลัวบาปกราบพระอย่าปะพบ
|
ไม่ขอคบคนโขมดที่โหดหืน
|
พอฟ้าคลุ้มพุ่มพฤกษ์ดูครึกครื้น
|
เงาทะมึนมืดพยับอับโพยม
|
พายุฝนอนธการสะท้านทุ่ง
|
เป็นฝุ่นฟุ้งฟ้าฮือกระพือโหม
|
น้ำค้างชะประเปรยเชยชโลม
|
ท่านจุดโคมขึ้นอารามต้องตามไป
|
เที่ยวหลีกรกวกวนอยู่จนดึก
|
เห็นพุ่มพฤกษ์โพธิ์ทองที่ผ่องใส
|
ตักน้ำผึ้งครึ่งจอกกับดอกไม้
|
จุดเทียนใหญ่อย่างตำราบูชาเชิญ
|
หวังจะปะพระปรอทที่ยอดยิ่ง
|
คะนึงนิ่งนึกรำพันสรรเสริญ
|
สำรวมเรียนเทียนอร่ามงามจำเริญ
|
จนดึกเกินไก่ขันหวั่นวิญญาณ์
|
ทั้งเทียนดับศัพท์เสียงสำเนียงเงียบ
|
เย็นยะเยียบน้ำค่างพร่างพฤกษา
|
เห็นแวววับลับลงตรงนัยนา
|
ปรอทมาสูบซึ่งน้ำผึ้งรวง
|
ครั้นคลำได้ในกลางคืนก็ลื่นหลุด
|
ต้องจัดจุดธูปเทียนเวียนบวงสรวง
|
ประกายพรึกดึกเด่นขึ้นเห็นดวง
|
ดังโคมช่วงโชติกว่าบรรดาดาว
|
จักจั่นแจ้วแว่วหวีดจังหรีดหริ่ง
|
ปี่แก้วตริ่งตรับเสียงสำเนียงหนาว
|
ยิ่งเย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่างพราว
|
พระพายผ่าวพัดไหวทุกใบโพธิ์ ฯ
|
๏ พอรุ่งแรกแปลกกลิ่นระรินรื่น
|
โอ้หอมชื่นช่อมะกอกดอกโสน
|
เหมือนอบน้ำร่ำผ้าประสาโซ
|
สะอื้นโอ้อารมณ์ระทมทวี
|
หวังจะปะพระปรอทที่ปลอดโปร่ง
|
ทั้งสามองค์เอามาไว้ก็ไพล่หนี
|
เชิญพระธาตุราธนาทุกราตรี
|
อาบวารีทิพรสหมดมลทิน
|
ที่ธุระปรอทเป็นปลอดเปล่า
|
ยังดูเลาลายแทงแสวงถวิล
|
ท่านนอนอ่านลานใหญ่ฉันได้ยิน
|
ว่ายากินรูปงามอร่ามเรือง
|
แม้นฟันหักจักงอกผมหงอกหาย
|
แก่กลับกลายหนุ่มเนื้อนั้นเรื่อเหลือง
|
ตะวันออกบอกแจ้งเป็นแขวงเมือง
|
ท่านจัดเครื่องครบครันทั้งจันทน์จวง
|
กับหนูกลั่นจันมากบุนนาคหนุ่ม
|
สักสิบทุ่มเดินมุ่งออกทุ่งหลวง
|
มาตาลายปลายคลองถึงหนองพลวง
|
แต่ล้วนสวงสาหร่ายเห็นควายนอน
|
นึกว่าผีตีฆ้องป่องป่องโห่
|
มันผุดโผล่พลุ่งโครมถีบโถมถอน
|
เถาสาหร่ายควายกลุ้มตะลุมบอน
|
ว่าผีหลอนหลบพัลวันเวียน
|
พอเสียงร้องมองดูจึงรู้แจ้ง
|
เดินแสวงหาวัดฉวัดเฉวียน
|
พอเช้าตรู่ดูทางมากลางเตียน
|
ถึงป่าเกรียนเกรียวแซ่จอแจจริง ฯ
|
๏ กระจาบจับนับหมื่นดูดื่นดาษ
|
เหมือนตลาดเหลือหูเพราะผู้หญิง
|
เหมือนโกรธขึ้งหึงหวงด้วยช่วงชิง
|
ชุมจริงจริงจิกโจดกระโดดโจน
|
จนต้นไม้ใบงอกออกไม่รอด
|
ดูกรองกรอดเกรียมกร่องกรองกรอยโกร๋น
|
ลมกระทั่งรังกระจาบระยาบโยน
|
ตัวมันโหนหวงคู่คอยขู่คน
|
บ้างคาบแขมแซมรังเหมือนดังสาน
|
สอดชำนาญเหน็บฝอยเหมือนสร้อยสน
|
จิกสะบัดจัดแจงสอดแซงซน
|
เปรียบเหมือนคนช่างสะดึงรู้ตรึงตรอง
|
โอ้ว่าอกนกยังมีรังอยู่
|
ได้เคียงคู่ค่ำเช้าไม่เศร้าหมอง
|
แม้นร่วมเรือนเหมือนหนึ่งนกกกประคอง
|
แต่สักห้องหนึ่งก็เห็นจะเย็นใจ
|
จนพ้นป่ามาถึงโป่งห้วยโข่งคุด
|
มันหมกมุดเหมือนเขาแจ้งแถลงไข
|
เห็นตาลโดดโขดคุ่มกับพุ่มไม้
|
มีทิวไผ่พงรายเหมือนลายแทง
|
ท่านหลีกลัดตัดทางไปกลางทุ่ง
|
ตั้งแต่รุ่งไปจนแดดก็แผดแสง
|
ได้พักเพลเอนนอนพอผ่อนแรง
|
ต่ออ่อนแสงสุริยาจึงคลาไคล
|
แต่แรกดูครู่หนึ่งจะถึงที่
|
เหมือนถอยหนีห่างเหินเดินไม่ไหว
|
เหมือนเรื่องรักชักชิดสนิทใน
|
มากลับไกลเกรงกระดากต้องลากจูง ฯ
|
๏ พอเย็นจวนด่วนเดินขึ้นเนินโขด
|
ถึงตาลโดดดินพูนเป็นมูลสูง
|
เที่ยวเลียบชมลมเย็นเห็นนกยูง
|
เป็นฝูงฝูงฟ้อนหางที่กลางทราย
|
ทำกรีดปีกหลีกเลี่ยงเข้าเคียงคู่
|
คอยแฝงดูดังระบำรำถวาย
|
กระหวัดวาดยาตรเยื้องชำเลืองกราย
|
เหมือนละม้ายหม่อมละครเมื่อฟ้อนรำ
|
โอ้เคยเห็นเล่นงานสำราญรื่น
|
ได้แช่มชื่นเชยชมที่คมขำ
|
มาห่างแหแลลับจับระบำ
|
เห็นแต่รำแพนนกน่าอกตรม
|
ออกตรูไล่ไปสิ้นขึ้นบินว่อน
|
แฉลบร่อนเรียงตามดูงามสม
|
เห็นเซิงไทรไผ่โพธิ์ตะโกพนม
|
ระรื่นร่มรุกขชาติดาษเดียร
|
พิกุลออกดอกหอมพะยอมย้อย
|
นกน้อยน้อยจิกจับเหมือนกับเขียน
|
ในเขตแคว้นแสนสะอาดดังกวาดเตียน
|
ตลิบเลี่ยนลมพัดอยู่อัตรา
|
สารภีที่ริมโบสถ์สาโรชร่วง
|
มีผึ้งรวงรังสิงกิ่งพฤกษา
|
รสเร้าเสาวคนธ์สุมณฑา
|
ภุมราร่อนร้องละอองนวล
|
โอ้บุปผาสารภีส่าหรีรื่น
|
เป็นที่ชื่นเชยถนอมด้วยหอมหวน
|
เห็นมาลาอาลัยใจรัญจวน
|
เหมือนจะชวนเชษฐาน้ำตากระเด็น ฯ
|
๏ โอ้ยามนี้ที่ตรงนึกรำลึกถึง
|
มาเหมือนหนึ่งใจจิตที่คิดเห็น
|
จะคลอเคียงเรียงตามเมื่อยามเย็น
|
เที่ยวเลียบเล่นแลเพลินจำเริญตา
|
โบสถ์วิหารฐานบัทม์ยังมีมั่ง
|
เชิงผนังหนาแน่นด้วยแผ่นผา
|
สงสารสุดพุทธรัตน์ปฏิมา
|
พระศิลาแลดูเป็นบูราณ
|
อุโบสถหมดหลังคาฝาผนัง
|
พระเจ้านั่งอยู่แต่องค์น่าสงสาร
|
ด้วยเรื้อร้างสร้างสมมานมนาน
|
แต่โบราณเรื่องพระเจ้าตะเภาทอง
|
มาเที่ยวเล่นเห็นหินบนดินโขด
|
เดี่ยวสันโดษดังสำลีไม่มีหมอง
|
จึงจัดช่างสร้างอารามตามทำนอง
|
ทรงจำลองลายหัตถ์เป็นปฏิมา
|
รูปพระเจ้าเท่าองค์แล้วทรงสาป
|
ให้อยู่ตราบศักราชพระศาสนา
|
พอฤๅษีสี่องค์เหาะตรงมา
|
ถวายยาอายุวัฒนะ
|
เธอไม่อยู่รู้ว่าหลงในสงสาร
|
ซ้ำให้ทานแท่งยาอุตสาหะ
|
ใส่ตุ่มทองรองไว้ที่ใต้พระ
|
ใครพบปะเปิดได้เอาไปกิน
|
ช่วยสร้างโบสถ์โขดเขื่อนให้เหมือนเก่า
|
นามนั้นเขาเขียนแจ้งที่แท่งหิน
|
วัดเจ้าฟ้าอากาศนาถนรินทร์
|
ให้ทราบสิ้นสืบสายเพราะลายแทง
|
เป็นตำรามาแต่เหนือท่านเชื่อถือ
|
ดูหนังสือเสาะหาอุตส่าห์แสวง
|
มาพบปะจะได้ขุดก็สุดแรง
|
ด้วยดินแข็งเขาประมูลด้วยปูนเพชร
|
ถึงสิ่วขวานผลาญพะเนินไม่เยินยู่
|
เห็นเหลือรู้ที่จะทำให้สำเร็จ
|
แต่จะต้องลองตำรากาลเม็ด
|
เผื่อจะเสร็จสมถวิลได้กินยา ฯ
|
๏ พอเย็นรอนดอนสูงดูทุ่งกว้าง
|
วิเวกวางเวงจิตทุกทิศา
|
ลิงโลดเหลียวเปลี่ยวใจนัยนา
|
เห็นแต่ฟ้าแฝกแขมขึ้นแซมแซง
|
ดูกว้างขวางว่างโว่งตะโล่งลิ่ว
|
ไม่เห็นทิวที่สังเกตในเขตแขวง
|
สุริยนสนธยาท้องฟ้าแดง
|
ยิ่งโรยแรงรอนรอนอ่อนกำลัง
|
โอ้แลดูสุริยงจะลงลับ
|
มิใคร่จะดับดวงได้อาลัยหลัง
|
สลดแสงแฝงรถเข้าบดบัง
|
เหมือนจะสั่งโลกาให้อาลัย
|
แต่คนเราชาววังทั้งทวีป
|
มาเร็วรีบร้างมิตรพิสมัย
|
ไม่รอรั้งสั่งสวาทประหวาดใจ
|
โอ้อาลัยแลลับวับวิญญาณ์
|
ยิ่งเย็นฉ่ำน้ำค้างว่างวิเวก
|
เป็นหมอกเมฆมืดมิดทุกทิศา
|
แสนแสบท้องต้องเก็บตะโกนา
|
นึกระอาออกนามเมื่อยามโซ
|
ทั้งหนูกลั่นจันมากบุนนาคน้อย
|
ช่วยกันสอยเก็บหักไว้อักโข
|
พอเคี้ยวฝาดชาติชั่วตัวตะโก
|
แต่ยามโซแสบท้องก็ต้องกลืน
|
พิกุลต้นผลห่ามอร่ามต้น
|
ครั้นกินผลพาเลี่ยนให้เหียนหืน
|
ชั่งฝาดเฝื่อนเหมือนจะตายต้องคายคืน
|
ทั้งขมขื่นแค้นคอไม่ขอกิน
|
ท่านบิดรสอนสั่งให้ตั้งจิต
|
โปรดประสิทธิ์สิกขารักษาศิล
|
เข้าร่มพระมหาโพธิบนโขดดิน
|
ระรื่นกลิ่นกลางคืนค่อยชื่นใจ
|
เหมือนกลิ่นกลั่นจันทน์เจือในเนื้อหอม
|
แนบถนอมสนิทจิตพิสมัย
|
เสมอหมอนอ่อนอุ่นละมุนละไม
|
มาจำไกลกลอยสวาทอนาถนอน ฯ
|
๏ โอ้ยามนี้มิได้เชยเหมือนเคยชื่น
|
ทุกค่ำคืนขาดประทิ่นกลิ่นอัปสร
|
หอมพิกุลฉุนใจอาลัยวอน
|
พิกุลร่อนร่วงหล่นลงบนทรวง
|
ยิ่งเสียวเสียวเฉียวฉุนพิกุลหอม
|
เคยถนอมเสน่ห์หมายไม่หายหวง
|
โอ้ดอกแก้วแววฟ้าสุดาดวง
|
มิหล่นร่วงลงมาเลยใคร่เชยชิม
|
เย็นระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำด้วยน้ำค้าง
|
ลงพร่างพร่างพรายพร้อยย้อยหยิมหยิม
|
ยิ่งฟั่นเฟือนเหมือนสมรมานอนริม
|
ให้เหงาหงิมง่วงเงียบเซียบสำเนียง
|
เสนาะดังจังหรีดวะหวีดแว่ว
|
เสียงแจ้วแจ้วจักจั่นสนั่นเสียง
|
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรเรียง
|
เสียวสำเนียงนอนแลเห็นแต่ดาว
|
จนดึกดื่นรื่นเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว
|
หนาวดอกงิ้วงิ้วต้นให้คนหนาว
|
แม้นงิ้วงามนามงิ้วเล็บนิ้วยาว
|
จะอุ่นราวนวมแนบนั่งแอบอิง
|
ทั้งสี่นายหมายว่ากินยาแล้ว
|
จะผ่องแผ้วพากันเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
|
เดชะยาน่ารักประจักษ์จริง
|
ขอให้วิ่งตามฉาวทั้งด้าวแดน
|
นากนั้นว่าอายุอยู่ร้อยหมื่น
|
จะได้ชื่นชมสาวสักราวแสน
|
ไม่รู้หมดรสชาติไม่ขาดแคลน
|
ฉันอายแทนที่ครวญถึงนวลนาง
|
ทั้งหนูกลั่นนั้นว่าเมื่อเรือล่องกลับ
|
จะแวะรับนางสิบสองไม่หมองหมาง
|
แม่เอวอ่อนมอญรำล้วนสำอาง
|
จะขวางขวางไปอย่างไรคงได้ดู
|
สมเพชเพื่อนเหมือนหนึ่งบ้าประสาหนุ่ม
|
แต่ล้วนลุ่มหลงเหลือจนเบื่อหู
|
จนพระเมินเดินเวียนถือเทียนชู
|
เที่ยวส่องดูสีมาบรรดามี
|
ที่ผุพังยังแต่ตรุบรรจุธาตุ
|
ขาวสะอาดอรหัตจำรัสศรี
|
อาราธนามาไว้สิ้นด้วยยินดี
|
อัญชลีแล้วก็นั่งระวังภัย
|
น้ำค้างพรมลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว
|
ใบโพธิ์ปลิวแพลงพลิกริกริกไหว
|
บ้างร่วงหล่นวนว่อนร่อนไรไร
|
ด้วยแสงไฟรางรางสว่างตา ฯ
|
๏ จนดึกดื่นรื่นรมลมสงัด
|
ดึกกำดัดดาวสว่างพร่างพฤกษา
|
เหมือนเสียงโห่โร่หูข้างบูรพา
|
กฤษฎาได้ฤกษ์เบิกพระไทร
|
สายสิญจน์วงลงยันต์กันปีศาจ
|
ธงกระดาษปักปลิวหวิวหวิวไหว
|
ข้าวสารทรายปรายปราบกำราบไป
|
ปักเทียนชัยฉัตรเฉลิมแล้วเจิมจันทน์
|
จุดเทียนน้อยร้อยแปดนั้นปักรอบ
|
ล้อมเป็นขอบเขตเหมือนหนึ่งเขื่อนขัณฑ์
|
มนต์มหาวาหุดีพิธีกรรม์
|
แก้อาถรรพณ์ถอนฤทธิ์ที่ปิดบัง
|
แล้วโรยหินดินดำคว่ำหอยโข่ง
|
จะเปิดโป่งปูนเพชรเป็นเคล็ดขลัง
|
พอปักธงลงดินได้ยินดัง
|
สำเนียงตังตึงเปรี้ยงแซ่เสียงคน
|
ข้างเทียนดับกลับกลัวให้มัวมืด
|
พยุฮึดฮือมาเป็นห่าฝน
|
ถูกลูกเห็บเจ็บแสบแปลบสกนธ์
|
เหลือจะทนทานลมลงก้มกราน
|
เสียงเกรียวกราววาววามโพลงพลามพลุ่ง
|
สะเทือนทุ่งที่บนโขดโบสถ์วิหาร
|
กิ่งโพธิ์โผงโกร่งกร่างลงกลางลาน
|
สาดข้าวสารกรากกรากไม่อยากฟัง
|
ทั้งฟ้าร้องก้องกึกพิลึกลั่น
|
อินทรีย์สั่นซบฟุบเหมือนทุบหลัง
|
สติสิ้นวิญญาณ์ละล้าละลัง
|
สู่ภวังค์วุบวับเหมือนหลับไป
|
เป็นวิบัติอัศจรรย์มหันตเหตุ
|
ให้อาเพศเพื่อจะห้ามตามวิสัย
|
ทั้งพระพลอยม่อยหลับระงับไป
|
แสงอุทัยรุ่งขึ้นจึงฟื้นกาย
|
เที่ยวหาย่ามตามหาทั้งผ้าห่ม
|
มันตามลมลอยไปข้างไหนหาย
|
ไม่พบเห็นเป็นน่าระอาอาย
|
จนเบี่ยงบ่ายบิดาจะคลาไคล
|
ท่านห่มดองครองผ้าอุกาพระ
|
คารวะวันทาอัชฌาสัย
|
ถวายวัดตัดตำราไม่อาลัย
|
ขออภัยพุทธรัตน์ปฏิมา
|
เหมือนรู้ความยามโศกด้วยโรคร้าย
|
จึงตามลายลัดแลงแสวงหา
|
จะใคร่เห็นเช่นเขาบอกดอกจึงมา
|
มีตำราแล้วก็ต้องทดลองดู
|
ไม่รื้อร้างง้างงัดไม่คัดขุด
|
เป็นแต่จุดเทียนเบิกฤกษ์ราหู
|
ขอคุณพรตทศธรรมช่วยค้ำชู
|
ไม่เรียนรู้รูปงามไม่ตามลาย
|
มาเห็นฤทธิ์กฤษฎาอานุภาพ
|
ก็เข็ดหลาบลมพาตำราหาย
|
ได้กรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย
|
ให้ภูตพรายไพรโขมดที่โขดดิน
|
ทั้งเจ้าทุ่งกรุงทวาเทพารักษ์
|
ซึ่งพิทักษ์ที่พระยาคูหาหิน
|
พระเจ้าฟ้าอากาศนาถนรินทร์
|
ซึ่งสร้างถิ่นที่วัดพระปฏิมา
|
จงพ้นทุกข์สุโขอโหสิ
|
ไปจุติตามชาติปรารถนา
|
ทั้งเซิงไทรไผ่โพธิ์ตะโกนา
|
ฉันขอลาแล้วเจ้าคะหม่อมตะโก
|
ถึงแก่งอมหอมกลิ่นยังกินฝาด
|
แต่คราวขาดคิดรักเสียอักโข
|
ทั้งพิกุลฉุนกลิ่นจงภิญโญ
|
เสียดายโอ้อางขนางจะห่างไกล
|
ออกเดินทุ่งมุ่งหมายพอบ่ายคล้อย
|
ไม่ตามรอยแรกมาหญ้าไสว
|
จนจวนค่ำย่ำเย็นเห็นไรไร
|
สังเกตไม้หมายทางมากลางคืน
|
ต้องบุกรกวกหลงลุยพงแฝก
|
อุตส่าห์แหวกแขมคาสู้ฝ่าฝืน
|
มาตามลายหมายจะลุอายุยืน
|
ผ้าห่มผืนหนึ่งไม่ติดอนิจจัง
|
เจ้าหนูกลั่นนั้นว่าเคราะห์เสียเพราะหอม
|
เหมือนทิ้งหม่อมเสียทีเดียวเดินเหลียวหลัง
|
จะรีบไปให้ถึงเรือเหลือกำลัง
|
ครั้นหยุดนั่งหนาวใจจำไคลคลา
|
จนรุ่งรางทางเฟื่อนไม่เหมือนเก่า
|
ต้องเดินเดาดั้นดัดจนขัดขา
|
จนเที่ยงจึงถึงเรือเหลือระอา
|
อายตามาตาแก้วที่แจวเรือ
|
เขาหัวเราะเยาะว่าสาธุสะ
|
เครื่องอัฏฐะที่เอาไปช่างไม่เหลือ
|
พอมืดมนฝนคลุ้มลงครุมเครือ
|
ให้ออกเรือรีบล่องออกท้องคุ้ง
|
จะเลยตรงลงไปวัดก็ขัดข้อง
|
ไม่มีของขบฉันจังหันหุง
|
ไปพึ่งบุญคุณพระยารักษากรุง
|
ท่านบำรุงรักพระไม่ละเมิน
|
ทั้งเพลเช้าคาวหวานสำราญรื่น
|
ต่างชุ่มชื่นชวนกันสรรเสริญ
|
ทั้งสูงศักดิ์รักใคร่ให้เจริญ
|
อายุเกินกัปกัลป์พุทธันดร
|
ให้ครองกรุงฟุ้งเฟื่องเปรื่องปรากฏ
|
เกียรติยศอยู่ตลอดอย่าถอดถอน
|
ท่านอารีมีใจอาลัยวอน
|
ถึงจากจรใจจิตยังคิดคุณ
|
มาทีไรได้นิมนต์ปรนนิบัติ
|
สารพัดแผ่เผื่อช่วยเกื้อหนุน
|
ต่างชื่นช่วยอวยกุศลผลบุญ
|
สนองคุณเจ้าพระยารักษากรุง ฯ
|
๏ เมื่อกราบลาคลาเคลื่อนออกเลื่อนล่อง
|
เห็นหน้าน้องนามหุ่นนั่งชุนถุง
|
ทั้งผัดหน้าทาขมิ้นส่งกลิ่นฟุ้ง
|
บำรุบำรุงรูปงามอร่ามเรือง
|
ที่แพรายหลายนางสำอางโฉม
|
งามประโลมเปล่งปลั่งอลั่งเหลือง
|
ขมิ้นเอ๋ยเคยใช้แต่ในเมือง
|
มาฟุ้งเฟืองฝ่ายเหนือทั้งเรือแพ
|
พวกโพงพางนางแม่ค้าขายปลาเต่า
|
จับกระเหม่ามิได้เหลือชั้นเรือแห
|
จะล่องลับกลับไปอาลัยแล
|
มาถึงแพเสียงนกแก้วแจ้วเจรจา
|
เจ้าของขาวสาวสอนชะอ้อนพลอด
|
แวะมาจอดแพนี้ก่อนพี่จ๋า
|
น่ารับขวัญฉันนี่ร้องว่าน้องลา
|
ก็เลยว่าสาวกอดฉอดฉอดไป ฯ
|
๏ โอ้นกเอ๋ยเคยบ้างหรืออย่างพลอด
|
นางสาวสาวเขาจะกอดให้ที่ไหน
|
แต่น้องมีพี่ป้าที่อาลัย
|
ท่านยังไม่ช่วยกอดแกล้งทอดทิ้ง
|
นึกก็พลอยน้อยใจถึงไม่กอด
|
หนาวก็ทอดเตาไว้ก่อไฟผิง
|
ไม่เรียกเป็นเช่นนกแก้วแล้วจริงจริง
|
จะสู้นิ่งหนาวทนอยู่คนเดียว
|
ได้เด็ดรักหักใจมาในน้ำ
|
ถึงพบลำสาวแส้ไม่แลเหลียว
|
ประหลาดเหลือเรือวิ่งจริงจริงเจียว
|
มาคืนเดียวก็ได้หยุดถึงอยุธยา
|
จึงจดหมายรายเรื่องที่เคืองเข็ญ
|
ไปเที่ยวเล่นลายแทงแสวงหา
|
เห็นสิ่งไรในจังหวัดรัถยา
|
ได้จดมาเหมือนหนึ่งมีแผนที่ไว้
|
ไม่อ่อนหวานขานเพราะเสนาะโสต
|
ด้วยอายโอษฐ์มิได้อ้างถึงนางไหน
|
ที่เขามีที่จากฝากอาลัย
|
ได้ร่ำไรเรื่องหญิงจึงพริ้งเพราะ
|
นี่กล่าวแกล้งแต่งเล่นเพราะเป็นม่าย
|
เที่ยวเร่ขายคอนเรือมะเขือเปราะ
|
คิดคะนึงถึงตัวน่าหัวเราะ
|
เกือบกะเทาะหน้าแว่นแสนเสียดาย ฯ
|
๏ นารีใดไร้รักอย่าหนักหน่วง
|
จะโรยร่วงรกเรี้ยวแห้งเหี่ยวหาย
|
ที่เมตตาอยู่ก็อยากจะฝากกาย
|
อย่าหมิ่นชายเชิญตรึกให้ลึกซึ้ง
|
เหมือนภุมรินบินหาซึ่งสาโรช
|
ถึงร้อยโยชน์แย้มกลิ่นคงบินถึง
|
แต่ดอกไม้ไทท้าวในดาวดึงษ์
|
ไม่พ้นซึ่งพวกหมู่แมลงภู่ชม
|
เช่นกระต่ายกายสิทธิ์นั้นผิดเพื่อน
|
ขึ้นแต้มเดือนได้จนชิดสนิทสนม
|
เสน่หาอาลัยใจนิยม
|
จะใคร่ชมเช่นกระต่ายไม่วายตรอม
|
แต่เกรงเหมือนเดือนแรมไม่แจ่มแจ้ง
|
สุดจะแฝงฝากเงาเฝ้าถนอม
|
ขอเดชะจะได้พึ่งให้ถึงจอม
|
ขอให้น้อมโน้มสวาทอย่าคลาดคลา
|
ไม่เคลื่อนคลายหน่ายแหนงจะแฝงเฝ้า
|
ให้เหมือนเงาตามติดขนิษฐา
|
ทุกค่ำคืนชื่นชุ่มพุ่มผกา
|
มิให้แก้วแววตาอนาทร
|
มณฑาทิพย์กลีบบานตระการกลิ่น
|
ภุมรินหรือจะร้างห่างเกสร
|
จงทราบความตามใจอาลัยวอน
|
เดชะกลอนกล่าวปลอบให้ตอบคำ
|
จะคอยฟังดังคอยสอยสวาท
|
แม้นเหมือนมาดหมายจะชิมให้อิ่มหนำ
|
ถ้าครั้งนี้มิได้เยื้อนยังเอื้อนอำ
|
จะต้องคร่ำคร่าเปล่าแล้วเราเอย ฯ
|
ขอบพระคุณ
http://203.172.208.242/tatalad/subject/thai/pu2/www.pixiart.com/archives/soontornpoo/chaofa-01.html
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment