Latest News

Wednesday, July 22, 2009

นิราศสุพรรณ ๑๐๑-๑๕๐

(๑๐๑)๏ ถึงบางนางแม่หม้าย ไร้ผัว
เปลี่ยวเปล่าเศร้าหมองมัว หม่นไหม้
คราวใครใคร่ฝากตัว ต่อม่าย หมายเอย
พร้อมจิตคิดจะได้ ดับหม้ายกลายมีฯ


(๑๐๒)๏ ตวันออจรเข้ฟู่ คู่เคียง
ยาวใหญ่ไล่เรือเรียง เราะท้าย
เด็กตวาดผาดแผดเสียง แซ่สุ่ม ขยุมเอย
มันบ่หยุดผุดหว้าย วู่คว้างขวางเรือฯ


(๑๐๓)๏ เดชะพระพุทธิเจ้า เข้าฌาน
เคยชนะพญามาร แม่นแล้ว
รฦกถึงจึ่งบันดาน ดุจเช่น เห็นแฮ
จรเค่เหห่างแคล้ว คลาดคล้อยถอยหนีฯ


(๑๐๔)๏ ถึงช่องคลองน้ำชื่อ กฤษณา
เข้าตอกออกดอกตำรา ว่าไว้
คิดสบพบถ้ำมหา สนุกแน่ แม่เอย
นึกจะปลงคงได้ กระดากเจ้าเฝ้าหวงฯ


(๑๐๕)๏ บางเลนเป็นที่หลุ้ม แหล่งปลา
แปลงปลักคลักคงคา ขุ่นข้น
ไทเจ๊กเดอใหญ่พา พวกซ่อน ช้อนเอย
บุญส่งจงหลีกพ้น ทุกถั้วตัวปลาฯ


(๑๐๖)๏ บางบัวบ้านชื่อพร้อง สนองนำ
นึกเช่นเห็นบัวคำ คู่พร้อง
เค่าเหนียวเกี่ยวมาทำ แทนเค่า เจ้าเอย
คราวเคราะห์เพราะเกี่ยวข้อง ขัดค้างขวางเชิงฯ


วรรคที่สาม บทที่ ๑๐๖
เค่า = ข้าว

(๑๐๗)๏ ลมเรื่อยเฉื่อยชื่นใช้ ใบดลา
ถึงย่านบ้านดารา รกเรื้อ
สองเรือนเพื่อนพูดจา เจ่านั่ง รวังเอย
คิดใคร่ได้ชิดเชื้อ ช่วยเฝ้าเหย้าเรือนฯ


(๑๐๘)๏ ใบร่มลมเรื่อยแหล้น ลีลา
เหล่าหนุ่มชุ่มชื่นพา เพื่อนร้อง
อิเหนาเค่ามลกา กลเม็ด มากแฮ
ฟังเสนาะเพราะพร้อง พรักพร้อมซ้อมเสียงฯ


วรรคที่สาม บทที่ ๑๐๘
เค่า = เข้า

(๑๐๙)๏ ถึงชีปขาวย่านบ้าน โบรำ
ชีไม่เห็นกาดำ ตื่นร้อง
เชาบ้านย่านนั้นทำ แทงพวก ฉมวกแฮ
ซางแต่คำพร่ำพร้อง ชื่อนี้ชีปขาวฯ


(๑๑๐)๏ ขาวอื่นหมื่นสิ่งล้วน นวลขาว
แพรพ่าฟ้าดินดาว ดุจพร้อง
ขาวดูครู่เดียวคราว หนึ่งเบื่อ เหลือแฮ
ขาวบ่เบื่อเนื้อน้อง น่วมนิ้วผิวขาวฯ


วรรคที่สอง บทที่ ๑๑๐
พ่า = ผ้า
(๑๑๑0๏ คุ้งขวางบางบ้านชื่อ ชี้หล
ทางทิศทุกตำบล บอกแจ้ง
อยู่กลางหว่างมณฑล ทางร่วม รวมแฮ
คนเปลี่ยนเพี้ยนชื่อแย้ง ย่านนี้ยีหนฯ


ชีหล หรือ ยีหน คือบางยี่หน
ต.ตะค่า อ.บางปลาม้า

(๑๑๒)๏ บางปลาม้าป่าอ้อ กอรกำ
ไม้ไผ่ใหญ่สลวยลำ สล่างเฟื้อย
ชาวบ้านย่านนั้นทำ ที่ไร่ ไว้แฮ
ปลูกผักฟักแฟงเลื้อย ลูกห้อยย้อยไสวฯ


(๑๑๓)๏ ถึงคุ้งโพกระก้ม กราบกราน
โพอยู่บูรานนาน เนิ่นแล้ว
ชื่นชุ่มพุ่มพิศดาร เดชะ พระเอย
ขออย่าให้ไภยแผ้ว ผ่องพ้นกลโกงฯ


(๑๑๔)๏ โคกครามนามที่บ้าน หิว่านคราม
เขียวชุ่มฉอุ่มงาม กิ่งก้าน
เหมือนสีที่นุชทราม สวาดิฮุ่ม พุ่มเอย
เห็นแต่ครามนามบ้าน ไสบเจ้าเศร้าสูนฯ


(๑๑๕)๏ สวนหงส์วงวัดพร้อม พระเณร
รื่นรอบขอบบริเวณ หว่างบ้าน
เคกเยาเล่ากนเกน ก้องที่ กฎีแฮ
ใช่ที่มีสวนสอ้าน ชื่ออ้างปางหลังฯ


(๑๑๖)๏ ตลาดแก้วแถวถิ่นตเข้ ตนขาม
ตลิ่งตลาดแต่ล้วนหนาม สนับหญ้า
แก้วอื่นหมื่นแสนทราม สู้สละ ปละเอย
รักแต่แก้วแววฟ้า จะเฝ้าเคล้าสนอมฯ


(๑๑๗)๏ ถึงวังตาเพชอ้าง ปางหลัง
ไผ่พุ่มซุ้มเซิงรัง รกเรื้อ
ตาเพชเหตุใดวัง มีเล่า เจ้าเอย
ฤาว่าตาเพชเชื้อ ชาติท้าวเจ้าเมืองฯ


(๑๑๘)๏ สวนขิงตลิ่งแต่ล้วน สวนมเขือ
พริกเทศเม็ดอร่ามเหลือ เรื่อไหร้
กล้วยปลูกสุกห่ามเครือ ครบซ่ม มยมเอย
คิดคู่อยู่สวนได้ แต่งต้มซ่มตำฯ

บทที่ ๑๑๘
ไหร้ = ไร่
ซ่ม = ส้ม

(๑๑๙)๏ บ้านยอดยอดไม้สะพรั่ง ฝั่งชลา
ยอดยื่นชื่อช่อผกา กิ่งคว้าง
ยอดอื่นหมื่นแสนดา ดาษทอด ยอดแฮ
ยอดรักจักหาบ้าง บ่ได้ใจหายฯ


(๑๒๐)๏ ลุดลชนบทบ้าน ขนมจีน
โรงเจ๊กตั้งริมตีน ท่าน้ำ
นั่งนับทรัพย์สิ่งสิน สยายเพ่า เล่าแฮ
เมียช่างสางสลวยล้ำ สลับผู้หูหนางฯ


บทที่ ๑๒๐
เพ่า = เผ้า = ผม
ผู้หูหนาง = พู่หางหนู

(๑๒๑)๏ โพคอยโพขึ้นอยู่ คู่เคียง
ปากช่องคลองชลาเฉลียง ลัดถุ้ง
บ้านตั้งฝั่งน้ำเรียง รายอยู่ หมู่แฮ
แลรอบขอบแหลมคุ้ง เขตบ้านตาลรายฯ


(๑๒๒)๏ ถึงหน้าท่าน้ำวัด มนาวหวาน
ฦาเลื่องเบื้องบูราน ร่ำพร้อง
หวานอื่นคลื่นไส้นาน นักเบื่อ เหลือแม่
หวานแต่น้ำคำน้อง เสนาะน้ำคำหวานฯ


(๑๒๓)๏ ทับขี้เหล็กเด็กว่าต้ม ขมเหลือ
ครั้นแต่งแกงต้มเกลือ กลบคั้น
พริกขิงสิ่งใส่เจือ จิบอร่อย น้อยฤา
ขมขื่นคลื่นไส้นั้น แต่น้ำคำขมฯ


(๑๒๔)๏ วัดฝางอ้างชื่อไว้ ใช่ฝาง
ฝางย่อมย้อมแพรยาง ยิ่งขรั้ง
แดงสุกถูกแดดหมาง หมองคร่ำ ดำแฮ
อกพี่ที่แค้นขั้ง ขู่คร้ำน้ำฝางฯ


วรรคที่สอง บทที่ ๑๒๔
ขรั้ง = ครั่ง
(๑๒๕)๏ ท่าระหัดพัดน้ำท่วม ท้องนา
หันกลับขับคงคา คึ่นได้
ใคร่จ้างช่างรหัดหา ห่อนพบ หลบเอย
อกพี่ที่ร้อนให้ รหัดน้ำพร่ำพรมฯ

(๑๒๖)๏ ถึงบางนางสุกน้อง นามเหมือน
สุขพี่ที่ร่วมเรือน เพื่อนร้อน
ยามสุขทุกปีเดือน ได้อยู่ คู่เอย
ยามทุกสุขกาหล้อน หล่นเหน้าเปล่าดายฯ


(๑๒๗)๏ ถึงย่านยายท้าวที่ ผีลง
ฦาข่าวเจ้าสิงทรง สอดรู้
คิดใคร่ไถ่ถามองค์ อารักษ์ ประจักษ์เอย
แม่ม่ายหมายเคียงขู้ คบเผื้อนเชือนไฉนฯ


(๑๒๘)๏ ท่าโขลงโขลงช้างค่าม ตามโขลง
พลอยถูกผูกกูบโยง แย่ท้าย
ลืมเถื่อนเพื่อนร่วมโรง รักยศ หมดแฮ
พี่เที่ยวเดียวโดดคล้าย คชร้างห่างโขลงฯ


(๑๒๙)๏ บ้านตั้งฝั่งน้ำที่ กฎีทอง
ลาวอยู่รู้เสียงสนอง เหน่อช้า
ปลูกผักหักฟืนตอง ตามเถื่อน เพื่อนแฮ
หูเจาะเหมาะแต่หน้า แน่งน้อยกลอยใจฯ


(๑๓๐)๏ โคกม่อก่ออิฐตั้ง เตาเพลิง
เผาม่อก่อไฟเริง เร่งเร้า
ม่อมีที่พะเพิง เพื่อนเหล่า เผาแฮ
อกพี่ที่ร้อนเถ้า ถ่านกลุ้มรุมแรงฯ


(๑๓๑)๏ ถึงรยะสระโปยชหญ้าน บ้านลาว
ผ้านุ่งถุงทบยาว ย่างย้าย
กลีบกลับวับแวมวาว แวบแวบ แทบแฮ
เด็กว่าฟ้าแลบชม้าย มุ่งค้อนงอนงามฯ


(๑๓๒)๏ ถึงท้ายชายน้ำตก รกคลอง
ที่ลุ่มขุมรางรอง รับน้ำ
หน้าแล้งแฮ่งนาหนอง น้ำตก ซกแฮ
ชลเนตรเชษฐาผร้ำ เช่นน้ำตกบางฯ


(๑๓๓)๏ ควันเย็นเห็นหาดหน้า ท่ามี
เมืองสุพรรณบุรี รกร้าง
ศาลตั้งฝั่งนที ที่หาด ลาดแฮ
โรงเล่าเขาต้มค้าง ขอบคุ้งหุงสุราฯ


(๑๓๔)๏ ผู้รั้งตั้งรั้วรอบ ขอบราย
เป็นหมู่ดูงัวควาย ไขว่บ้าน
สาวสาวเหล่านุ่งลาย แล้วหม่อม มอมเอย
จ้ำม่ำลำสันสอ้าน อาบน้ำปล้ำปลาฯ


(๑๓๕)๏ กรมการบ้านตั้งตลอด ตลิ่งเตียน
ต่างต่อล้อเลื่อนเกียร เก็บไว้
เรือริมหาดดาษเดียร รดะปัก หลักแฮ
ของเหล่าเชาสวนใต้ แต่งตั้งนั่งขายฯ


บทที่ ๑๓๕
เกียร = เกวียน

(๑๓๖)๏ ฝั่งซ้ายฝ่ายฟากโพ้น พิศดาร
มีวัดพระรูปบูราณ ท่านสร้าง
ที่ถัดวัดประตูสาร สงฆ์สู่ อยู่เอย
หย่อมย่านบ้านขุนช้าง ชิดข้างสวนบันลังฯ


ในช่วงนี้ สุนทรภู่ได้แวะขึ้นที่อำเภอเมือง
จังหวัดสุพรรณบุรี สังเกตว่า ชื่อวัด
และสถานที่ต่างๆ คุ้นหู เช่น บ้านศรีประจัน
ทองประศรี พิมพิลาไลย และวัดต่างๆ
ที่บุคคลเหล่านี้สร้างขึ้น


(๑๓๗)๏วัดกระไกรใกล้บ้านที่ ศรีประจัน
ถามเหล่าชาวสุพรรณ เพื่อนชี้
ทองประศรีที่สำคัญ ข้างวัด แคแฮ
เดิมสนุกทุกวันนี้ รกเรื้อเสือคนองฯ


ซึ่งสถานที่เหล่านี้
คงเป็นที่รู้จักของชาวสุพรรณมานานแล้ว

สุนทรภู่พักค้างคืนที่คุ้งข้างวัดตะไกร
เช้ารุ่งขึ้นยังได้ไปนมัสการวัดป่าเลไลยก์ด้วย


(๑๓๘)๏ ประทับหน้าท่าสิบเบี้ย บูราณ
หว่างวัดฝาโถสถาน ถิ่นร้าง
มหาโพทโบสถ์วิหาร หักทับ ยับเอย
พิมพิลาไลยสร้าง สืบขู้สูพรรณฯ


(๑๓๙)๏ สงสารบ้านวัดร้าง แรมโรย
เสียงแต่นกหกโหย ค่ำเช้า
อกพี่ทีเดียวโดย ด้วยแก่ แม่เอย
เข้าเรื่องเมืองร้างเศร้า โศกซ้ำรำจวนฯ


(๑๔๐)๏ นอนค้างข้างคุ้งถัด วัดกระไกร
ครั้นรุ่งมุ่งเดินไพร พรั่งพร้อม
ไหว้พระป่าเรไร ร่มรรื่น ชื่นเอย
ริมรอบขอบเขื่อนล้อม สะล่างไม้ไพรพนมฯ


(๑๔๑)๏ น้อยน้อยพลอยชื่นชี้ ชมไพร
ครึมครึกพฤกษาไสว แว่นแคว้น
ผลิดอกออกผลใบ รบัดชื่น รื่นเอย
รอกกระแตแลแหล้น โลดเต้นเผ่นผยองฯ


สระล้วน

(๑๔๒)๏ แจ้วแจ้วจักกระจั่นจ้า จับใจ
หริ่งหริ่งเรื่อยเรไร ร่ำร้อง
แซงแซวส่งเสียงใส ทราบโสต
แหนงนิ่งนึกนุชน้อง นิ่มเนื้อนวลนางฯ



(๑๔๓)๏ พิกุนบุนนากแก้ว กาหลง
หอมชื่นรื่นลำดวนดง ดอกรย้า
สาวหยุดพุทธิชาดทรง เสาวรส สดเอย
หนุ่มหนุ่มรุมเก็บหน้า สนุกโน้มโถมชิงฯ


(๑๔๔)๏ เด็กได้ไส้ห่อผ้า พับเฉียง
เห็นไก่ไล่ลัดเฉลียง ลดเลี้ยว
ล้มลุกสนุกสำเนียง สนั่นโห่ โร่เอย
หน้าผากฝากบวมเบี้ยว บ่เว้นเผ่นผยองฯ


(๑๔๕)๏ นกร้องก้องกิ่งไม้ ใบบัง
แลลับกรับเสียงวัง เวกแหว้ว
ค้อนทองป่องเป๋งดัง ดุจเคาะ ฆ้อนแฮ
กอไผ่ไก่ขันแจ้ว แจ่มเจื้อยเฉื่อยเสียงฯ


(๑๔๖)๏ ขึ้นโขดโบสถ์เก่าก้ม กราบยุคล
พระป่าเรไรยล อย่างยิ้ม
ยอกรหย่อนบาทบน บงกช แก้วเอย
ปลั่งเปล่งเพ่งพิศพริ้ม พระหนั้งดังองค์ฯ


(๑๔๗)๏ เทียนธูปบุพชาติบ้าง บูชา
นึกพระเสด็จมา ยับยั้ง
ลิงเผือกเลือกสมอพวา ถวายไว่ ใกล้แฮ
ช้างเผือกเลือกผึ้งทั้ง กิ่งไม้ไหว้ถวายฯ


(๑๔๘)๏ ขอเดชะพระพุทธิเจ้า จงเห็น
อตส่าห์มาเช้าเย็น ยากไร้
ปรารถนาว่าจะเป็น ปเจกพุท ธะภูมิเอย
บุญช่วยด้วยให้ได้ ดุจข้าอาวรณ์ฯ


(๑๔๙)๏ ยังไปไม่พ้นภพ สงสาร
ขอปะพระศรีอาร อีกเหล้า
กราบถึงซึ่งพระนิพาน ผ่ายภาก หน้าเอย
ขอสุขทุกข์โศกเศร้า สิ่งร้ายหายสูญฯ


(๑๕๐)๏ อนึ่งเจ้าเหล่าเล็กล้วน ลูกหลาน
หมายมั่งดังพิศถาน ถี่ถ้วน
ขอให้ใส่นามขนาน ตาบพัด สวัดิเอย
กลั่นชุบอุประถำล้วน ลูกเลี้ยงเที่ยงธรรม์
no image
  • Blogger Comments
  • Facebook Comments

0 ความคิดเห็น:

Post a Comment

Top