นิราศภูเขาทอง ได้รับยกย่องว่าเป็นนิราศเรื่องเยี่ยมที่สุดของท่านสุนทรภู่ ท่านแต่งเรื่องนี้ เมื่อครั้งเดินทางไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทอง ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คาดว่าไปในราวปี พ.ศ.๒๓๗๑ หลังจากเกิดมีเรื่องมีราวที่วัดราชบูรณะฯ ขณะนั้นท่าน มีอายุราว ๔๒ ปี
นิราศเรื่องนี้ไม่ยาวนัก แต่พร้อมไปด้วยกระบวนกลอนอันไพเราะ และแง่คิดสำหรับการดำรงชีวิต อาจเป็นด้วยท่านสุนทรภู่ได้บวชมาหลายพรรษาแล้ว และได้ตระหนักถึงความเป็นจริงของชีวิตมากขึ้น เส้นทางเดินทางจะคล้ายกับนิราศ พระบาท เพราะออกจากพระนครทวนแม่น้ำขึ้นไปทางเหนือ ขอให้สังเกตความเปรียบเทียบในนิราศภูเขาทองกับนิราศพระบาท ซึ่งท่านแต่งขึ้นเมื่อรุ่นหนุ่มอายุเพียง ๒๑ ปีว่า ท่านสุนทรภู่คิดเห็นสุขุมขึ้นอย่างไร
นอกจากนี้ แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคตไปหลายปีแล้วก็ตาม แต่ความจงรักภักดีของท่านสุนทรภู่ ในพระองค์ก็มิได้เสื่อมคลายไปแม้แต่น้อย ด้วยท่านยังคร่ำครวญรำพันถึงพระองค์อยู่ตลอดการเดินทางในนิราศเรื่องนี้
ขอบพระคุณ
http://203.172.208.242/tatalad/subject/thai/pu2/www.pixiart.com/archives/soontornpoo/pukaotong-01.html
นิราศเรื่องนี้ไม่ยาวนัก แต่พร้อมไปด้วยกระบวนกลอนอันไพเราะ และแง่คิดสำหรับการดำรงชีวิต อาจเป็นด้วยท่านสุนทรภู่ได้บวชมาหลายพรรษาแล้ว และได้ตระหนักถึงความเป็นจริงของชีวิตมากขึ้น เส้นทางเดินทางจะคล้ายกับนิราศ พระบาท เพราะออกจากพระนครทวนแม่น้ำขึ้นไปทางเหนือ ขอให้สังเกตความเปรียบเทียบในนิราศภูเขาทองกับนิราศพระบาท ซึ่งท่านแต่งขึ้นเมื่อรุ่นหนุ่มอายุเพียง ๒๑ ปีว่า ท่านสุนทรภู่คิดเห็นสุขุมขึ้นอย่างไร
นอกจากนี้ แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคตไปหลายปีแล้วก็ตาม แต่ความจงรักภักดีของท่านสุนทรภู่ ในพระองค์ก็มิได้เสื่อมคลายไปแม้แต่น้อย ด้วยท่านยังคร่ำครวญรำพันถึงพระองค์อยู่ตลอดการเดินทางในนิราศเรื่องนี้
นิราศภูเขาทอง
|
|
กวี : พระสุนทรโวหาร (ภู่)
|
|
ประเภท : นิราศ
|
|
คำประพันธ์ : กลอนนิราศ
|
|
สมัย : รัตนโกสินทร์
|
|
ปีที่แต่ง : ประมาณ พ.ศ. ๒๓๗๑
|
|
๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา
|
|
รับกฐินภิญโญโมทนา
|
ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย
|
ออกจากวัดทัศนาดูอาวาส
|
เมื่อตรุษสารทพระวสาได้อาศัย
|
สามฤดูอยู่ดีไม่มีภัย
|
มาจำไกลอารามเมื่อยามเย็น
|
โอ้อาวาสราชบุรณะพระวิหาร
|
แต่นี้นานนับทิวาจะมาเห็น
|
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น
|
เพราะขุกเข็ญคนพาลมารานทาง
|
จะยกหยิบธิบดีเป็นที่ตั้ง
|
ก็ใช้ถังแทนสัดเห็นขัดขวาง
|
จึ่งจำลาอาวาสนิราศร้าง
|
มาอ้างว้างวิญญาณ์ในสาคร ฯ
|
๏ ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด
|
คิดถึงบาทบพิตรอดิศร
|
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร
|
แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น
|
พระนิพพานปานประหนึ่งศีรษะขาด
|
ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ
|
ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น
|
ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา
|
จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งส่วนบุญถวาย
|
ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา
|
เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา
|
ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป ฯ
|
๏ ถึงหน้าแพแลเห็นเรือที่นั่ง
|
คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล
|
เคยหมอบรับกับพระจมื่นไวย
|
แล้วลงในเรือที่นั่งบัลลังก์ทอง
|
เคยทรงแต่งแปลงบทพจนารถ
|
เคยรับราชโองการอ่านฉลอง
|
จนกฐินสิ้นแม่น้ำแลลำคลอง
|
มิได้ข้องเคืองขัดหัทยา
|
เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ
|
ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา
|
สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธา
|
วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์ ฯ
|
๏ ดูในวังยังเห็นหอพระอัฐิ
|
ตั้งสติเติมถวายฝ่ายกุศล
|
ทั้งปิ่นเกล้าเจ้าพิภพจบสกล
|
ให้ผ่องพ้นภัยสำราญผ่านบุรินทร์ ฯ
|
๏ ถึงอารามนามวัดประโคนปัก
|
ไม่เห็นหลักลือเล่าว่าเสาหิน
|
เป็นสำคัญปันแดนในแผ่นดิน
|
มิรู้สิ้นสุดชื่อที่ลือชา
|
ขอเดชะพระพุทธคุณช่วย
|
แม้นมอดม้วยกลับชาติวาสนา
|
อายุยืนหมื่นเท่าเสาศิลา
|
อยู่คู่ฟ้าดินได้ดังใจปอง
|
ไปพ้นวัดทัศนาริมท่าน้ำ
|
แพประจำจอดรายเขาขายของ
|
มีแพรผ้าสารพัดสีม่วงตอง
|
ทั้งสิ่งของขาวเหลืองเครื่องสำเภา
ฯ
|
๏ ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
|
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
|
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา
|
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
|
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ
|
สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
|
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย
|
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
|
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก
|
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
|
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
|
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน ฯ
|
๏ ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้อง
|
มามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน
|
เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืน
|
จึงต้องขืนในพรากมาจากเมือง
|
ถึงบางพลูคิดถึงคู่เมื่ออยู่ครอง
|
เคยใส่ซองส่งให้ล้วนใบเหลือง
|
ถึงบางพลัดเหมือนพี่พลัดมาขัดเคือง
|
ทั้งพลัดเมืองพลัดสมรมาร้อนรน
|
ถึงบางโพธิ์โอ้พระศรีมหาโพธิ์
|
ร่มริโรธรุกขมูลให้พูนผล
|
ขอเดชะอานุภาพพระทศพล
|
ให้ผ่องพ้นภัยพาลสำราญกาย ฯ
|
๏ ถึงบ้านญวนล้วนแต่โรงแลสะพรั่ง
|
มีข้องขังกุ้งปลาไว้ค้าขาย
|
ตรงหน้าโรงโพงพางเขาวางราย
|
พวกหญิงชายพร้อมเพรียงมาเมียงมอง
|
จะเหลียวกลับลับเขตประเทศสถาน
|
ทรมานหม่นไหม้ฤทัยหมอง
|
ถึงเขมาอารามอร่ามทอง
|
พึ่งฉลองเลิกงานเมื่อวานซืน ฯ
|
๏ โอ้ปางหลังครั้งสมเด็จพระบรมโกศ
|
มาผูกโบสถ์ก็ได้มาบูชาชื่น
|
ชมพระพิมพ์ริมผนังยังยั่งยืน
|
ทั้งแปดหมื่นสี่พันได้วันทา
|
โอ้ครั้งนี้มิได้เห็นเล่นฉลอง
|
เพราะตัวต้องตกประดาษวาสนา
|
เป็นบุญน้อยพลอยนึกโมทนา
|
พอนาวาติดชลเข้าวนเวียน
|
ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกลียวกลอก
|
กลับกระฉอกฉาดฉันฉวัดเฉวียน
|
บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวงเหมือนกงเกวียน
|
ดูเปลี่ยนเปลี่ยนคว้างคว้างเป็นหว่างวน
|
ทั้งหัวท้ายกรายแจวกระชากจ้วง
|
ครรไลล่วงเลยทางมากลางหน
|
โอ้เรือพ้นวนมาในสาชล
|
ใจยังวนหวังสวาทไม่คลาดคลา ฯ
|
๏ ตลาดแก้วแล้วไม่เห็นตลาดตั้ง
|
สองฟากฝั่งก็แต่ล้วนสวนพฤกษา
|
โอ้รินรินกลิ่นดอกไม้ใกล้คงคง
|
เหมือนกลิ่นผ้าแพรดำร่ำมะเกลือ
|
เห็นโศกใหญ่ใกล้น้ำระกำแฝง
|
ทั้งรักแซงแซมสวาทประหลาดเหลือ
|
เหมือนโศกพี่ที่ระกำก็ซ้ำเจือ
|
เพราะรักเรื้อแรมสวาทมาคลาดคลาย
|
ถึงแขวงนนท์ชลมารคตลาดขวัญ
|
มีพ่วงแพแพรพรรณเขาค้าขาย
|
ทั้งของสวนล้วนแต่เรือเรียงราย
|
พวกหญิงชายชุมกันทุกวันคืน ฯ
|
๏ มาถึงบางธรณีทวีโศก
|
ยามวิโยคยากใจให้สะอื้น
|
โอ้สุธาหนาแน่นเป็นแผ่นพื้น
|
ถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร
|
เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้
|
ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย
|
ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ
|
เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา ฯ
|
๏ ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า
|
ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
|
เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา
|
ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย
|
โอ้สามัญผันแปรไม่แท้เที่ยง
|
เหมือนอย่างเยี่ยงชายหญิงทิ้งวิสัย
|
นี่หรือจิตคิดหมายมีหลายใจ
|
ที่จิตใครจะเป็นหนึ่งอย่าพึงคิด ฯ
|
๏ ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
|
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
|
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
|
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา ฯ
|
๏ ถึงบ้านใหม่ใจจิตก็คิดอ่าน
|
จะหาบ้านใหม่มาดเหมือนปรารถนา
|
ขอให้สมคะเนเถิดเทวา
|
จะได้ผาสุกสวัสดิ์จำกัดภัย
|
ถึงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาด
|
บังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้
|
เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมใน
|
อุปไมยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา
|
ถึงบางหลวงเชิงรากเหมือนจากรัก
|
สู้เสียศักดิ์สังวาสพระศาสนา
|
เป็นล่วงพ้นรนราคราคา
|
ถึงนางฟ้าจะมาให้ไม่ไยดี ฯ
|
๏ ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า
|
พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี
|
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี
|
ชื่อปทุมธานีเพราะมีบัว
|
โอ้พระคุณสูญลับไม่กลับหลัง
|
แต่ชื่อตั้งก็ยังอยู่เขารู้ทั่ว
|
โอ้เรานี้ที่สุนทรประทานตัว
|
ไม่รอดชั่วเช่นสามโคกยิ่งโศกใจ
|
สิ้นแผ่นดินสิ้นนามตามเสด็จ
|
ต้องเที่ยวเตร็ดเตร่หาที่อาศัย
|
แม้นกำเนิดเกิดชาติใดใด
|
ขอให้ได้เป็นข้าฝ่าธุลี
|
สิ้นแผ่นดินขอให้สิ้นชีวิตบ้าง
|
อย่ารู้ร้างบงกชบทศรี
|
เหลืออาลัยใจตรมระทมทวี
|
ทุกวันนี้ก็ซังตายทรงกายมา ฯ
|
๏
ถึงบ้านงิ้วเห็นแต่งิ้วละลิ่วสูง
|
ไม่มีฝูงสัตว์สิงกิ่งพฤกษา
|
ด้วยหนามดกรกดาษระดะตา
|
นึกก็น่ากลัวหนามขามขามใจ
|
งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม
|
ดังขวากแซมเสี้ยมแซกแตกไสว
|
ใครทำชู้คู่ท่านครั้นบรรลัย
|
ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง
|
เราเกิดมาอายุเพียงนี้แล้ว
|
ยังคลาดแคล้วครองตัวไม่มัวหมอง
|
ทุกวันนี้วิปริตผิดทำนอง
|
เจียนจะต้องปีนบ้างหรืออย่างไร ฯ
|
๏ โอ้คิดมาสารพัดจะตัดขาด
|
ตัดสวาทตัดรักมิยักไหว
|
ถวิลหวังนั่งนึกอนาถใจ
|
ถึงเกาะใหญ่ราชครามพอยามเย็น
|
ดูห่างย่านบ้านช่องทั้งสองฝั่ง
|
ระวังทั้งสัตว์น้ำจะทำเข็ญ
|
เป็นที่อยู่ผู้ร้ายไม่วายเว้น
|
เที่ยวซ่อนเร้นตีเรือเหลือระอา ฯ
|
๏ พระสุริยงลงลับพยับฝน
|
ดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา
|
ถึงทางลัดตัดทางมากลางนา
|
ทั้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี้ยว
|
เป็นเงาง้ำน้ำเจิ่งดูเวิ้งว้าง
|
ทั้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว
|
เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียว
|
ล้วนเรือเพรียวพร้อมหน้าพวกปลาเลย
|
เขาถ่อคล่องว่องไวไปเป็นยืด
|
เรือเราฝืดเฝือมานิจจาเอ๋ย
|
ต้องถ่อค้ำร่ำไปทั้งไม่เคย
|
ประเดี๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก
|
กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอน
|
เรือขย่อนโยกโยนกระโถนหก
|
เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานก
|
น้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด
|
ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่ง
|
พอหยุดยุงฉู่ชุมมารุมกัด
|
เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด
|
ต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอน ฯ
|
๏ แสนวิตกอกเอ๋ยมาอ้างว้าง
|
ในทุ่งกว้างเห็นแต่แขมแซมสลอน
|
จนดึกดาวพราวพร่างกลางอัมพร
|
กาเรียนร่อนร้องก้องเมื่อสองยาม
|
ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจังหรีดเรื่อย
|
พระพายเฉื่อยฉิวฉิววะหวิวหวาม
|
วังเวงจิตคิดคะนึงรำพึงความ
|
ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส
|
สำรวลกับเพื่อนรักสะพรักพร้อม
|
อยู่แวดล้อมหลายคนปรนนิบัติ
|
โอ้ยามเข็ญเห็นอยู่แต่หนูพัด
|
ช่วยนั่งปัดยุงให้ไม่ไกลกาย
|
จนเดือนเด่นเห็นกอกระจับจอก
|
ระดะดอกบัวเผื่อนเมื่อเดือนหงาย
|
เห็นร่องน้ำลำคลองทั้งสองฝ่าย
|
ข้างหน้าท้ายถ่อมาในสาคร
|
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพันธุ์ผัก
|
ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร
|
เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร
|
ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา
|
สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่า
|
เป็นเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา
|
กระจับจอกดอกบัวบานผกา
|
ดาษดาดูขาวดั่งดาวพราย
|
โอ้เช่นนี้สีกาได้มาเห็น
|
จะลงเล่นกลางทุ่งเหมือนมุ่งหมาย
|
ที่มีเรือน้อยน้อยจะลอยพาย
|
เที่ยวถอนสายบัวผันสันตวา
|
ถึงตัวเราเล่าถ้ายังมีโยมหญิง
|
ไหนจะนิ่งดูดายอายบุปผา
|
คงจะใช้ให้ศิษย์ที่ติดมา
|
อุตส่าห์หาเอาไปฝากตามยากจน
|
นี่จนใจไม่มีเท่าขี้เล็บ
|
ขี้เกียจเก็บเลยทางมากลางหน
|
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน
|
ถึงตำบลกรุงเก่ายิ่งเศร้าใจ ฯ
|
๏ มาทางท่าหน้าจวนจอมผู้รั้ง
|
คิดถึงครั้งก่อนมาน้ำตาไหล
|
จะแวะหาถ้าท่านเหมือนเมื่อเป็นไวย
|
ก็จะได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน
|
แต่ยามยากหากว่าถ้าท่านแปลก
|
อกมิแตกเสียหรือเราเขาจะสรวล
|
เหมือนเข็ญใจใฝ่สูงไม่สมควร
|
จะต้องม้วนหน้ากลับอัปประมาณ ฯ
|
๏ มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม
|
ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน
|
บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญ
|
ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง
|
บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ
|
ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง
|
มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็ง
|
เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู
|
อ้ายลำหนึ่งครึ่งท่อนกลอนมันมาก
|
ช่างยาวลากเลื้อยเจื้อยจนเหนื่อยหู
|
ไม่จบบทลดเลี้ยวเหมือนเงี้ยวงู
|
จนลูกคู่ขอทุเลาว่าหาวนอน ฯ
|
๏ ได้ฟังเล่นต่างต่างที่ข้างวัด
|
จนสงัดเงียบหลับลงกับหมอน
|
ประมาณสามยามคล้ำในอัมพร
|
อ้ายโจรจรจู่จ้วงเข้าล้วงเรือ
|
นาวาเอียงเสียงกุกลุกขึ้นร้อง
|
มันดำล่องน้ำไปช่างไวเหลือ
|
ไม่เห็นหน้าสานุศิษย์ที่ชิดเชื้อ
|
เหมือนเนื้อเบื้อบ้าเคอะดูเซอะซะ
|
แต่หนูพัดจัดแจงจุดเทียนส่อง
|
ไม่เสียของขาวเหลืองเครื่องอัฏฐะ
|
ด้วยเดชะตบะบุญกับคุณพระ
|
ชัยชนะมารได้ดังใจปอง ฯ
|
๏ ครั้นรุ่งเช้าเข้าเป็นวันอุโบสถ
|
เจริญรสธรรมาบูชาฉลอง
|
ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทอง
|
ดูสูงล่องลอยฟ้านภาลัย
|
อยู่กลางทุ่งรุ่งโรจน์สันโดษเด่น
|
เป็นที่เล่นนาวาคงคาใส
|
ที่พื้นลานฐานบัทม์ถัดบันได
|
คงคงลัยล้อมรอบเป็นขอบคัน
|
มีเจดีย์วิหารเป็นลานวัด
|
ในจังหวัดวงแขวงกำแพงกั้น
|
ที่องค์ก่อย่อเหลี่ยมสลับกัน
|
เป็นสามชั้นเชิงชานตระหง่านงาม
|
บันไดมีสี่ด้านสำราญรื่น
|
ต่างชมชื่นชวนกันขึ้นชั้นสาม
|
ประทักษิณจินตนาพยายาม
|
ได้เสร็จสามรอบคำนับอภิวันท์
|
มีห้องถ้ำสำหรับจุดเทียนถวาย
|
ด้วยพระพายพัดเวียนอยู่เหียนหัน
|
เป็นลมทักขิณาวัฏน่าอัศจรรย์
|
แต่ทุกวันนี้ชราหนักหนานัก
|
ทั้งองค์ฐานราญร้าวถึงเก้าแสก
|
เผลอแยกยอดสุดก็หลุดหัก
|
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก
|
เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น
|
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ
|
จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
|
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น
|
คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น ฯ
|
๏ ขอเดชะพระเจดีย์คีรีมาศ
|
บรรจุธาตุที่ตั้งนรังสรรค์
|
ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภิวันท์
|
เป็นอนันต์อานิสงส์ดำรงกาย
|
จะเกิดชาติใดใดในมนุษย์
|
ให้บริสุทธิ์สมจิตที่คิดหมาย
|
ทั้งทุกข์โศกโรคภัยอย่าใกล้กราย
|
แสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์
|
ทั้งโลโภโทโสแลโมหะ
|
ให้ชนะใจได้อย่าใหลหลง
|
ขอฟุ้งเฟื่องเรืองวิชาปัญญายง
|
ทั้งให้ทรงศีลขันธ์ในสันดาน
|
อีกสองสิ่งหญิงร้ายแลชายชั่ว
|
อย่าเมามัวหมายรักสมัครสมาน
|
ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ
|
ตราบนิพพานภาคหน้าให้ถาวร ฯ
|
๏ พอกราบพระปะดอกปทุมชาติ
|
พบพระธาตุสถิตในเกสร
|
สมถวิลยินดีชุลีกร
|
ประคองซ้อนเชิญองค์ลงนาวา
|
กับหนูพัดมัสการสำเร็จแล้ว
|
ใส่ขวดแก้ววางไว้ใกล้เกศา
|
มานอนกรุงรุ่งขึ้นจะบูชา
|
ไม่ปะตาตันอกยิ่งตกใจ
|
แสนเสียดายหมายจะชมบรมธาตุ
|
ใจจะขาดคิดมาน้ำตาไหล
|
โอ้บุญน้อยลอยลับครรไลไกล
|
เสียน้ำใจเจียนจะดิ้นสิ้นชีวัน
|
สุดจะอยู่ดูอื่นไม่ฝืนโศก
|
กำเริบโรคร้อนฤทัยเฝ้าใฝ่ฝัน
|
พอตรู่ตรู่สุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณ
|
ให้ล่องวันหนึ่งมาถึงธานี ฯ
|
๏ ประทับท่าหน้าอรุณอารามหลวง
|
ค่อยสร่างทรวงทรงศีลพระชินสีห์
|
นิราศเรื่องเมืองเก่าของเรานี้
|
ไว้เป็นที่โสมนัสทัศนา
|
ด้วยได้ไปเคารพพระพุทธรูป
|
ทั้งสถูปบรมธาตุพระศาสนา
|
เป็นนิสัยไว้เหมือนเตือนศรัทธา
|
ตามภาษาไม่สบายพอคลายใจ
|
ใช่จะมีที่รักสมัครมาด
|
แรมนิราศร้างมิตรพิสมัย
|
ซึ่งครวญคร่ำทำทีพิรี้พิไร
|
ตามนิสัยกาพย์กลอนแต่ก่อนมา
|
เหมือนแม่ครัวคั่วแกงแพนงผัด
|
สารพัดเพียญชนังเครื่องมังสา
|
อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกา
|
ต้องโรยน่าเสียสักหน่อยอร่อยใจ ฯ
|
๏ จงทราบความตามจริงทุกสิ่งสิ้น
|
อย่านึกนินทาแกล้งแหนงไฉน
|
นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ
|
จึงร่ำไรเรื่องร้างเล่นบ้างเอย ฯ
|
ขอบพระคุณ
http://203.172.208.242/tatalad/subject/thai/pu2/www.pixiart.com/archives/soontornpoo/pukaotong-01.html
0 ความคิดเห็น:
Post a Comment