Latest News

Thursday, July 16, 2009

นิราศพระประธม

นิราศพระประธมนี้ สันนิษฐานว่าท่านสุนทรภู่แต่งเมื่อลาสิกขาแล้ว ท่านน่าจะเดินทางเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ ช่วงหน้าหนาว อันเป็นฤดูน้ำขึ้น ชาวบ้านสามารถพายเรือไปถึงบริเวณพระเจดีย์ได้ ด้วยองค์พระเจดีย์นั้นอยู่บนที่ดอน หากไปในหน้าแล้ง ก็จะต้องเดินเท้ากันเข้าไปไกลๆ พระประธมเจดีย์ หรือพระปฐมเจดีย์ในสมัยนั้น มิใช่องค์ที่เห็น ณ ปัจจุบันนี้ แต่เป็นเจดีย์รูปโอคว่ำ เหมือนสัญจิเจดีย์ในอินเดีย มีการบูรณะกันมาหลายครั้ง มาบูรณะเป็นองค์พระเจดีย์เช่นปัจจุบันในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในนิราศเรื่องนี้ ท่านสุนทรภู่ยังได้เล่าถึงตำนานของพระยากง พระยาพาน ตามที่ได้ฟังจากชาวบ้านมาไว้ด้วย

นิราศเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราได้ทราบถึงประวัติหลายๆ ส่วนในชีวิตของท่านสุนทรภู่ ท่านได้กล่าวถึงสตรีหลายนาง ที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิต ด้วยลีลากลอนอันเศร้าซึ้งรันทดยิ่งนัก บุคลิก ลักษณะ กระทั่งชื่อของสตรีเหล่านั้น เราจะสังเกตได้ว่า เธอได้มาปรากฏอยู่ในงาน "พระอภัยมณี" ของสุนทรภู่หลายท่านทีเดียว

สิ่งที่น่าสังเกต ในงานนิราศของท่านทุกเรื่องที่แต่งขึ้นภายหลังการเสด็จสวรรคตของ "พระผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร" คือ องค์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ท่านสุนทรภู่จักต้องรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นของพระองค์ และถวายพระราชกุศลทุกครั้ง



นิราศพระประธม


กวี : สุนทรภู่

ประเภท : กลอนนิราศ

คำประพันธ์ : กลอนสุภาพ

สมัย : รัชกาลที่ ๓

ปีที่แต่ง : พ.ศ. ๒๓๘๕




๏ ถวิลวันจันทร์ทิวาขึ้นห้าค่ำ
ลงนาวาคลาเคลื่อนออกเลื่อนลำ
พอเสียงย่ำยามสองกลองประโคม
น้ำค้างย้อยพรอยพรมเป็นลมว่าว
อนาถหนาวนึกเคยได้เชยโฉม
มาลับเหมือนเดือนดับพยับโพยม
ยิ่งทุกข์โทมนัสในใจรัญจวน
โอ้หน้าหนาวคราวนี้เป็นที่สุด
ไม่มีนุชแนบชมเมื่อลมหวน
พี่เห็นนางห่างเหยังเรรวน
มิได้ชวนเจ้าไปชมประธมประโทน ฯ


๏ ที่ปลูกรักจักได้ชื่นทุกคืนค่ำ
ก็เตี้ยต่ำตายฝอยกรองกร๋อยโกร๋น
ที่ชื่นเชยเคยรักเหมือนหลักประโคน
ก็หักโค่นขาดสูญประยูรวงศ์
ยังเหลือแต่แม่ศรีสาครอยู่
ไปสิงสู่เสน่หานางสาหงส์
จะเชิญเจ้าเท่าไรก็ไม่ลง
ให้คนทรงเสียใจมิได้เชย ฯ


๏ วัดระฆังตั้งแต่เสร็จสำเร็จศพ
ไม่พานพบภคินีเจ้าพี่เอ๋ย
โอ้แลเหลียวเปลี่ยวใจกระไรเลย
มาชวดเชยโฉมหอมถนอมนวล
จนนาวาคลาคล่องเข้าคลองกว้าง
ตำบลบางกอกน้อยละห้อยหวน
ตลาดแพแลตลอดเขาทอดพวน
แลแต่ล้วนเรือตลาดไม่ขาดคราว
ทุกเรือนแพแลลับระงับเงียบ
ยิ่งเย็นเยียบยามดึกให้นึกหนาว
ในอากาศกลาดเกลื่อนด้วยเดือนดาว
เป็นลมว่าวเฉื่อยฉิวหวิวหวัวใจ
โอ้บางกอกกอกเลือดให้เหือดโรค
แต่ความโศกนี้จะกอกออกที่ไหน
แม้นได้แก้วแววตามายาใจ
แล้วก็ไม่พักกอกดอกจริงจริง ฯ


๏ ดูวังหลังยังไม่ลืมที่ปลื้มจิต
เคยมีมิตรมากมายทั้งชายหญิง
มายามดึกนึกถึงที่พึ่งพิง
อนาถนิ่งน้อยหน้าน้ำตานอง
บางหว้าน้อยน้อยจิตด้วยพิสมัย
น้อยหรือใจจืดจางให้หมางหมอง
หมายว่ารักจักได้พึ่งเหมือนหนึ่งน้อง
เห็นเจ้าของขายหน้าทั้งตาปี
ถึงวัดทองหมองเศร้าให้เหงาเงียบ
เย็นยะเยียบหย่อมหญ้าป่าช้าผี
สงสารฉิมนิ่มน้องสองนารี
มาปลงที่เมรุทองทั้งสองคน
ขอบุญญาอานิสงส์จำนงสนอง
ช่วยส่งสองศรีสวัสดิ์ไปปัฏิสนธิ์
ศิวาลัยไตรภพจบสกล
ประจวบจนได้พบประสบกัน
ทั้งแก้วเนตรเกสรามณฑาทิพย์
จงลอยลิบลุล่วงถึงสรวงสวรรค์
จะเกิดไหนได้อยู่คู่ชีวัน
อย่ามีอันตรายเป็นเหมือนเช่นนี้ ฯ


๏ วัดประขาวขาวเหลือเชื่อไม่ได้
ด้วยดวงใจเจ้ามันคล้ำดำมิดหมี
แม่หม้ายสาวขาวโศกโฉลกมี
เหมือนแม่ศรีสาครฉะอ้อนเอว
โอ้เคราะห์กรรมจำคลาดนิราศร้าง
เพราะขัดขวางความในเหมือนไขว่เฉลว
ทั้งเกลียดลิ้นนินทาพาลาเลว
เหมือนควันเปลวปลิวต้องให้หมองมอม
เสียดายแต่แม่ศรีเจ้าพี่เอ๋ย
จะชวดเชยชวดชิดสนิทสนอม
เหมือนดอกไม้ไกลแดนเพราะแตนตอม
ใครแปลงปลอมปลิดสอยมันต่อยตาย ฯ


๏ บางบำหรุเหมือนบำรุบำรุงรัก
จะพึ่งพักพิศวาสเหมือนมาดหมาย
ไม่เหมือนนึกตรึกตรองเพราะสองราย
เห็นฝักฝ่ายเฟือนลงด้วยทรงโลม
พอสิ้นแพแลล้วนสวนสงัด
พยุพัดฮือฮือกระพือโหม
ยิ่งดึกดาววาววามดังตามโคม
น้ำค้างโซมแสนหนาวให้เปล่าใจ
บางขุนนนท์ต้นลำภูดูหิ่งห้อย
เหมือนเพชรพร้อยพรอยพร่างสว่างไสว
จังหรีดร้องซ้องเสียงเรียงเรไร
จะแลไหนเงียบเหงาทุกเหย้าเรือน
บางระมาดมาดหมายสายสวาท
ว่าสมมาดเหมือนใจแล้วไม่เหมือน
แสนสวาทมาดหมายมาหลายเดือน
มีแต่เคลื่อนแคล้วคลาดประหลาดใจ
วัดไก่เตี้ยไม่เห็นไก่เห็นไทรต่ำ
กอระกำแกมสละขึ้นไสว
หอมระกำก็ยิ่งช้ำระกำใจ
ระกำไม่เหมือนระกำที่ช้ำทรวง
ถึงสวนหลวงหวงห้ามเหมือนความรัก
เหลือที่จักจับต้องเป็นของหลวง
แต่รวยรินกลิ่นผกาบุปผาพวง
ระรื่นร่วงเรณูฟูขจร
โอ้ไม้ต้นคนเฝ้าแต่เสาวรส
ยังปรากฏกลิ่นกล่อมหอมเกสร
แต่โกสุมภุมรินมาบินวอน
ไม่ดับร้อนร่วงกลิ่นให้ดิ้นโดย
ดึกกำดัดสัตว์อื่นไม่ตื่นหมด
แต่นกกดร้องเร้ากระเหว่าโหวย
ระรวยรินกลิ่นโศกมาโบกโบย
โอ้โศกโรงเหมือนพี่ร้างมาทางจร ฯ


๏ ถึงบางขวางปางก่อนว่ามอญขวาง
เดี๋ยวนี้นางไทยลาวแก่สาวสอน
ทำยกย่างขวางแขวนแสนแสงอน
ถึงนางมอญก็ไม่ขวางเหมือนนางไทย
วัดพิกุลฉุนกลิ่นระรินรื่น
โอ้หอมชื่นเช่นกับรสแป้งสดใส
เหมือนพิกุลอุ่นทรวงพวงมาลัย
ที่เคยใส่หัตถ์หอมถนอมนวล
โอ้ยามนี้มิได้เชยเหมือนเคยชื่น
มาหอมรื่นแต่ดอกไม้ที่ในสวน
พระพายโชยโรยรินกลิ่นลำดวน
เหมือนจะชวนชื่นใจเมื่อไกลเชย
บางสนามนึกขามแต่หนามเสี้ยน
หนามทุเรียนรักฉีกอีกเจ้าเอ๋ย
ที่กีดขวางทางความแต่หนามเตย
ไม่น่าเชยน่าชังล้วนรังแตน
ถึงสวนแดนแสนเสียดายสายสวาท
มาสิ้นชาติชนมโลกให้โศกแสน
ไปสวรรค์ชั้นบนคนละแดน
ไม่ร่วมแผ่นภพโลกยิ่งโศกใจ ฯ


๏ ถึงวัดเกดเจตนาแต่การะเกด
ไม่สมเจตนาน่าน้ำตาไหล
เคยสบเนตรเกษน้อยกลอยฤทัย
มาจำไกลกลืนกลั้นที่รัญจวน
น้ำค้างพรมลมชายระบายโบก
หอมดอกโศกเศร้าสร้อยละห้อยหวน
เหมือนโศกร้างห่างเหเสน่ห์นวล
มาถึงสวนโศกช้ำระกำทรวง
เห็นรักน้ำคร่ำคร่าไม่น่ารัก
จะเด็ดหักเสียก็ได้เขาไม่หวง
แต่ละต้นผลลูกดังผูกพวง
ก็โรยร่วงเปล่าหมดไม่งดงาม
เหมือนรักคนคนรักทำยักยอก
จะเก็บดอกเด็ดผลคนก็ขาม
แม้นยางลูกถูกหัตถ์ก็กัดลาม
เหมือนรำรามรักรายริมชายพง ฯ


๏ วัดชะลอใครหนอชะลอฉลาด
เอาอาวาสมาไว้ให้อาศัยสงฆ์
ช่วยชะลอวรลักษณ์ที่รักทรง
ให้มาลงเรือร่วมนวมที่นอน
ถนอมแนบแอบอุ้มประทุมน้อย
แขนจะคอยเคียงวางไว้ต่างหมอน
เมื่อปลื้มใจไสยาอนาทร
จะกล่าวกลอนกล่อมขนิษฐ์ให้นิทรา ฯ


๏ เห็นคลองขวางบางกรวยระทวยจิต
ไม่ลืมคิดนิ่มน้อยละห้อยหา
เคยร่วมสุขทุกข์ร้อนแต่ก่อนมา
โอ้สิ้นอายุเจ้าได้เก้าปี
แต่ก่อนกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราก
จึงจำจากนิ่มน้องให้หมองศรี
เคยไปมาหาน้องในคลองนี้
เห็นแต่ที่ท้องคลองนองน้ำตา
สงสารบุตรสุดเศร้าทุกเช้าค่ำ
ด้วยเป็นกำพร้าแม่ชะแง้หา
เขม้นมองคลองบ้านดูมารดา
เช็ดน้ำตาโซมซาบลงกราบกราน
ยิ่งตรอมตรึกดึกดื่นสะอื้นอั้น
จนไก่ขันเอื้อนเอกวิเวกหวาน
เหมือนนิ่มน้องร้องเรียกสำเหนียกนาน
เจียนจะขานหลงแลชะแง้คอย ฯ


๏ บางสีทองคลองบ้านน้ำตาลสด
อร่อยรสซาบซ่านหวานคอหอย
เหมือนปากพี่สีทองของน้องน้อย
เป็นคู่บอกดอกสร้อยสักรวา
ทุกวันนี้พี่ก็เฒ่าเราก็หง่อม
เธอเป็นจอมเราเป็นจนต้องบ่นหา
โอ้จอมพี่สีทองของน้องยา
เมื่อไรจะพาพิมน้อยมากลอยใจ ฯ


๏ บางอ้อช้างโอ้ช้างที่ร้างโขลง
มาอยู่โรงรักป่าน้ำตาไหล
พี่คลาดแคล้วแก้วตาให้อาลัย
เหมือนอกไอยราร้างฝูงนางพัง ฯ


๏ พอจวนรุ่งฝูงนกวิหคร้อง
ประสานซ้องเซ็งแซ่ดังแตรสังข์
กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงดัง
เหมือนชาววังหวีดเสียงสำเนียงนวล
อโณทัยไตรตรัสจำรัสแสง
กระจ่างแจ้งแจ่มฟ้าพฤกษาสวน
หอมดอกไม้หลายพรรณให้รัญจวน
เหมือนกลิ่นนวลน้ำกุหลาบซึ่งซาบทรวง
โอ้บุปผาสารพัดที่กลัดกลีบ
ครั้นรุ่งรีบบานงามไม่ห้ามหวง
ให้ชื่นชุ่มภุมรินสิ้นทั้งปวง
ได้ซาบทรวงเสาวรสไม่อดออม
แต่ดอกฟ้าส่าหรีเจ้าพี่เอ๋ย
มิหล่นเลยละให้หมู่แมงภู่สนอม
จะกลัดกลิ่นสิ้นรสเพราะมดตอม
จนหายหอมแลกลอกเหมือนดอกกลอย ฯ


๏ ถึงวัดสักเหมือนพึ่งรักที่ศักดิ์สูง
สูงกว่าฝูงเขาเหินเห็นเกินสอย
แม้นดอกฟ้าคลาเคลื่อนหล่นเลื่อนลอย
จะได้คอยเคียงรับประคับประคอง
บางขนุนขุนกองมีคลองกว้าง
ว่าเดิมบางชื่อถนนเขาขนของ
เป็นเรื่องหลังครั้งคราวท้าวอู่ทอง
แต่คนร้องเรียกเฟือนไม่เหมือนเดิม
สุดาใดได้เพื่อนอย่าเฟือนพี่
เหมือนมณีนพรัตน์ฉัตรเฉลิม
อันน้ำในใจรักช่วยตักเติม
ให้พูนเพิ่มพิศวาสอย่าคลาดคลาย
บางนายไกรไกรทองอยู่คลองนี้
ชื่อจึงมีมาทุกวันเหมือนมั่นหมาย
ไปเข่นฆ่าชาละวันให้พลันตาย
เป็นยอดชายเชี่ยวชาญการวิชา
ได้ครอบครองสองสาวชาวพิจิตร
สมสนิทนางตะเข้เสน่หา
เหมือนตัวพี่นี้ได้ครองแต่น้องยา
จะเกื้อหน้าพางามขึ้นครามครัน
ถึงคลองขวางบางระนกโอ้อกพี่
แม้นปีกมีเหมือนหนึ่งนกจะผกผัน
ไปอุ้มแก้วแววตาพาจรัล
มาด้วยกันกับทั้งคู่ที่อยู่ริม
คงร่วมเรือเมื่อว่าตื่นสะอื้นอ้อน
จะคอยช้อนโฉมอุ้มไม่หยุมหยิม
ให้แย้มสรวลชวนเสบยเฝ้าเชยชิม
กว่าจะอิ่มอกแอบแนบนิทรา
บางคูเวียงเสียงเงียบเซียบสงัด
เป็นจังหวัดเวียงสวนล้วนพฤกษา
ดูรูปนางบางคูเวียงเหมือนเหนียงนา
ไม่เหมือนหน้านางนั่งในวังเวียง
เห็นโรงหีบหนีบอ้อยเขาคอยป้อน
มีคนต้อนควายตวาดไม่ขาดเสียง
เห็นน้ำอ้อยย้อยรางที่อ่างเรียง
โอ้พิศเพียงชลนาพี่จาบัลย์
อันลำอ้อยย่อยยับเหมือนกับอก
น้ำอ้อยตกเหมือนน้ำตาพี่กว่าขัน
เขาโหมไฟในโรงโขมงควัน
เหมือนอ้นอั้นอกกลุ้มรุมระกำ
โอ้น้ำในใจคนเหมือนต้นอ้อย
ข้างปลายกร่อยชืดชิมไม่อิ่มหนำ
ต้องหันหีบหนีบแตกให้แหลกลำ
นั่นแลน้ำจึงจะหวานเพราะจานเจือ ฯ


๏ ถึงบางม่วงง่วงจิตคิดถึงม่วง
ต้องจากทรวงเสียใจอาลัยเหลือ
มะม่วงงอมหอมหวนเหมือนนวลเนื้อ
มิรู้เบื่อบางม่วงเหมือนดวงใจ
เห็นต้นรักหักโค่นต้นสนัด
เป็นรอยตัดรักขาดให้หวาดไหว
เหมือนตัดรักหักสวาทขาดอาลัย
ด้วยเห็นใจเจ้าเสียแล้วเจ้าแก้วตา ฯ


๏ ถึงบางใหญ่ให้จอดทอดประทับ
เข้าเทียบกับกิ่งรักไม่พักหา
เมื่อกินข้าวเขาก็หักใบรักมา
จิ้มปลาร้าลองดูด้วยอยู่ริม
อร่อยนักรักอ่อนปลาช่อนย่าง
เปรียบเหมือนนางเนื้อนุ่มที่หยุมหยิม
อยากรู้จักรักใคร่พึ่งได้ชิม
ชอบแต่จิ้มปลาร้าจึงพารวย
โอ้รักต้นคนรักเขาหักให้
ไม่พักได้เด็ดรักไม่พักฉวย
แต่รักน้องต้องประสงค์ถึงงงงวย
ใครไม่ช่วยชักนำให้กล้ำกลืน ฯ


๏ เสพอาหารหวานคาวเมื่อคราวยาก
ล้วนของฝากเฟื่องฟูค่อยชูชื่น
แต่มะแป้นแกนในจะไปคืน
ของอื่นอื่นอักโขล้วนโอชา
เห็นสิ่งของน้องรักฟักจันอับ
แช่อิ่มพลับผลชิดเป็นปริศนา
พี่จรจากฝากชิดสนิทมา
เหมือนแก้วตาตามติดมาชิดเชื้อ
แผ่นขนุนวุ้นแท่งของแห้งสิ้น
แต่ละชิ้นชูใจอาลัยเหลือ
ได้ชื่นชิมอิ่มหนำทั้งลำเรือ
เพราะน้องเนื้อนพคุณกรุณา ฯ


๏ แล้วเข้าทางบางใหญ่ครรไลล่อง
ไปตามคลองเคลื่อนคล้อยละห้อยหา
เห็นสิ่งไรในจังหวัดรัถยา
สะอื้นอาลัยถึงคะนึงนวล
แม้นแก้วตามาเห็นเหมือนเช่นนี้
จะยินดีด้วยดอกไม้ที่ในสวน
ไม่แจ้งนามถามพี่จะชี้ชวน
ชมลำดวนดอกส้มต้นนมนาง
ที่ริมน้ำง้ำเงื้อมจะเอื้อมหัก
เอายอดรักให้น้องเมื่อหมองหมาง
ไม่เหมือนหมายสายสวาทมาขาดกลาง
โอ้อ้างว้างวิญญาณ์ในสาคร ฯ


๏ บางกระบือเห็นกระบือเหมือนชื่อบ้าน
แสนสงสารสัตว์นาฝูงกาสร
ลงปลักเปลือกเกลือกเลนระเนนนอน
เหมือนจะร้อนรนร่ำทุกค่ำคืน
โอ้อกพี่นี้ก็ร้อนเพราะศรรัก
ถึงฝนสักแสนห่าไม่ฝ่าฝืน
แม้นเหมือนรสพจมานเมื่อวานซืน
จะชูชื่นใจพี่ด้วยปรีดิ์เปรม
โอ้เปรียบชายคล้ายนกวิหคน้อย
จะเลื่อนลอยลงสรงกับหงส์เหม
ได้ใกล้เคียงเรียงริมจะอิ่มเอม
แสนเกษมสุดสวาทไม่คลาดคลาย ฯ


๏ ถึงคลองย่านบ้านบางสุนัขบ้า
เหมือนขี้ข้านอกเจ้าเฉาฉงาย
เป็นบ้าจิตคิดแค้นด้วยแสนร้าย
ใครใกล้กรายเกลียดกลัวทุกตัวคน ฯ


๏ ถึงลำคลองช่องกว้างชื่อบางโสน
สะอื้นโอ้อ้างว้างมากลางหน
โสนออกดอกระย้าริมสาชล
บ้างร่วงหล่นแลงามเมื่อยามโซ
แต่ต้นเบาเขาไม่ใช้เช่นใจหญิง
เบาจริงจริงเจียวใจเหมือนไม้โสน
เห็นตะโกโอ้แสนแค้นตะโก
ถึงแสนโซสิ้นคิดไม่ติดตาม
พอสุดสวนล้วนแต่เหล่าเถาสวาด
ขึ้นพ้นพาดเพ่งพิศให้คิดขาม
ชื่อสวาดพาดเพราะเสนาะนาม
แต่ว่าหนามรกระชะกะกาง
สวาดต้นคนต้องแล้วร้องอุ่ย
ด้วยรุกรุยรกเรื้อรังเสือสาง
จนชั้นลูกถูกต้องเป็นกองกลาง
เปรียบเหมือนอย่างลูกสวาทศรียาตรา
ริมลำคลองท้องทุ่งดูวุ้งเวิ้ง
ด้วยน้ำเจิ่งจอกผักขึ้นหนักหนา
ดอกบัวเผื่อนเกลื่อนกลาดดาษดา
สันตะวาสายติ่งต้นลินจง ฯ


๏ ถึงบ้านใหม่ธงทองริมคลองลัด
ที่หน้าวัดเห็นเขาปักเสาหงส์
ขอความรักหนักแน่นให้แสนตรง
เหมือนคันธงแท้เที่ยงอย่าเอียงเอน
ได้ชมวัดศรัทธาสาธุสะ
ไหว้ทั้งพระปฏิมามหาเถร
นาวาล่องคล่องแคล่วเขาแจวเจน
เฟือยระเนนน้ำพร่างกระจ่างกระจาย
ดูชาวบ้านพรานปลาทำลามก
เที่ยวดักนกยิงเนื้อมาเถือขาย
เป็นทุ่งนาป่าไม้รำไรราย
พวกหญิงชายชาวเถื่อนอยู่เรือนโรง ฯ


๏ ที่ริมคลองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน
น่าสำราญเรียงรันควันโขมง
ถึงชะวากปากช่องชื่อคลองโยง
เป็นทุ่งโล่งลิบลิ่วหวิวหวิวใจ
มีบ้านช่องสองฝั่งชื่อบางเชือก
ล้วนตมเปือกเปอะปะสวะไสว
ที่เรือน้อยลอยล่องค่อยคล่องไป
ที่เรือใหญ่โป้งโล้งต้องโยงควาย
เวทนากาสรสู้ถอนถีบ
เขาตีรีบเร่งไปน่าใจหาย
ถึงแสนชาติจะมาเกิดกำเนิดกาย
อย่าเป็นควายรับจ้างที่ทางโยง ฯ


๏ ตามแถวทางกลางย่านนั้นบ้านว่าง
เขาปลูกสร้างศาลาเปิดฝาโถง
เจ๊กจีนใหม่ไทยมั่งไปตั้งโรง
ขุดร่องน้ำลำกระโดงเขาโยงดิน
ดูทุ่งกว้างวางเวกหมอกเมฆมืด
บรรพตพืดภูผาพนาสิณฑ์
ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากิน
ตามที่ถิ่นเขตแคว้นทุกแดนดาว
บ้างเดินดินบินว่อนขึ้นร่อนร้อง
ริมขอบหนองนกกระกรุมคุ่มคุ่มขาว
ค้อนหอยย่องมองปลาแข้งขายาว
อีโก้งก้าวโก้งเก้งเขย่งตัว
กระทุงทองล่องเลื่อนดูเกลื่อนกลาด
ไม่คลาคลาดคลอเคลียเหมือนเมียผัว
มีต่างต่างยางกรอกนกดอกบัว
เที่ยวเดินยั้วเยี้ยย่องที่ท้องนา
นกกระจาบคาบคุ่มอีลุ้มร่อน
ดูว้าว่อนเวียนเร่ในเวหา
เห็นยางเจ่าเซาจับคอยสับปลา
นกกระสาซ่องซ่องค่อยย่องเดิน
โอ้ดูนกอกใจให้ไหวหวาด
ยามนิราศเริดร้างมาห่างเหิน
เห็นสิ่งไรใจพี่ไม่มีเพลิน
ส่วนเรือเดินด่วนไปใจจะคืน ฯ


๏ จะออกช่องคลองโยงเห็นโรงบ้าน
เขาเรียกลานตากฟ้าค่อยพาชื่น
โอ้แผ่นฟ้ามาตากถึงภาคพื้น
น่าจะยืนหยิบเดือนได้เหมือนใจ
เจ้าหนูน้อยพลอยว่าฟ้าตกน้ำ
ใครช่างดำยกฟ้าขึ้นมาได้
แม้นแดนดินสิ้นฟ้าสุราลัย
จะเปล่าใจจริงจริงทั้งหญิงชาย ฯ


๏ โอ้ฟังบุตรสุดสวาทฉลาดเปรียบ
ต้องทำเนียบนึกไปก็ใจหาย
ถึงแขวงแควแลลิ่วชื่องิ้วราย
สะอื้นอายออกความเหมือนนามงิ้ว
งามเสงี่ยมเอี่ยมอิ่มเมื่อพริ้มพักตร์
ดูน่ารักเรือนผมก็สมผิว
แสนสุภาพกราบก้มประนมนิ้ว
เหมือนโฉมงิ้วงามราวกับชาววัง ฯ


๏ ถึงย่านน้ำสำประทวนรำจวนจิต
เหมือนใจคิดทวนทบตลบหลัง
ไปลอบโลมโฉมเฉกที่เมฆบัง
เปรียบเหมือนนั่งแอบอุ้มทุกทุ่มโมง ฯ


๏ ถึงปากน้ำลำคลองที่ท้องทุ่ง
เจ๊กเขาหุงเหล้ากลั่นควันโขมง
มีรางรองสองชั้นทำคันโพง
ผูกเชือกโยงยืนชักคอยตักเติม
น่าชมบุญขุนพัฒน์ไม่ขัดข้อง
มีเงินทองทำทวีภาษีเสริม
เมียน้อยน้อยพลอยเป็นสุขไรจุกเจิม
ได้พูนเพิ่มวาสนาเสียกว่าไทย
ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับถือ
เหมือนเราหรือเขาจะรักมิผลักไส
สงสารจนอ้นอั้นให้ตันใจ
จนเข้าในปากน้ำสำประโทน ฯ


๏ ริมลำคลองสองฝั่งสะพรั่งพฤกษ์
พินิจนึกเหมือนหนึ่งเขียนบ้างเกรียนโกร๋น
นกอีลุ้มคุ่มขาบจิบจาบโจน
กระพือโผนโผผินขึ้นบินโบย
บนไม้สูงฝูงเปล้านกเค้ากู่
กระลุมพูโพระโดกเสียงโหวกโหวย
วิเวกใจได้ยินยิ่งดิ้นโดย
ละห้อยโหยหาน้องในคลองลัด
พอมืดมนฝนคลุ้มชอุ่มอับ
โพยมพยับเป็นพยุระบุระบัด
เสียงลมสั่นบันลือกระพือพัด
พิรุณซัดสาดสายลงพรายพราว
ฟ้ากระหึมครึมครั่นให้ปั่นป่วน
เหมือนพี่ครวญคราวทนน้ำฝนหนาว
แวมสว่างอย่างแก้วดูแวววาว
เป็นเรื่องราวรามสูรอาดูรทรวง
เพราะนางเอกเมขลาหล่อนล่อแก้ว
จะให้แล้วแล้วไม่ให้ด้วยใจหวง
เหมือนรักแก้วแววฟ้าสุดาดวง
เฝ้าหนักหน่วงนึกเหมือนจะเคลื่อนคลา ฯ


๏ ถึงบางแก้วแก้วอื่นสักหมื่นแสน
ไม่เหมือนแม้นแก้วเนตรของเชษฐา
ดูรูปนางบางแก้วไม่แผ้วตา
ไม่เหมือนหน้าน้องแก้วที่แคล้วกัน
จนเกินย่านบ้านคลองที่ท้องทุ่ง
เป็นเขตคุ้งขอบป่าพนาสัณฑ์
ทุกถิ่นเถื่อนเรือนโรงโขมงควัน
เป็นสำคัญเขตโขดโตนดตาล ฯ


๏ ถึงโพเตี้ยโพต่ำเหมือนคำกล่าว
แต่โตราวสามอ้อมเท่าพ้อมสาน
เป็นเรื่องราวจ้าวฟ้าพระยาพาน
มาสังหารพระยากงองค์บิดา
แล้วปลูกพระมหาโพธิบนโขดใหญ่
เผอิญให้เตี้ยต่ำเพราะกรรมหนา
อันเท็จจริงสิ่งใดเป็นไกลตา
เขาเล่ามาพี่ก็เล่าให้เจ้าฟัง ฯ


๏ ที่ท้ายบ้านศาลจ้าวของชาวบ้าน
บวงสรวงศาลจ้าวผีบายศรีตั้ง
เห็นคนทรงปลงจิตอนิจจัง
ให้คนทั้งปวงหลงลงอบาย
ซึ่งคำปดมดท้าวว่าจ้าวช่วย
ไม่เห็นด้วยที่จะได้ดังใจหมาย
อันจ้าวผีนี้ถึงรับก็กลับกลาย
ถือจ้าวนายที่ได้พึ่งจึงจะดี
แต่บ้านนอกขอกนาอยู่ป่าเขา
ไม่มีจ้าวนายจึงต้องพึ่งผี
เหมือนถือเพื่อนเฟือนหลงว่าทรงดี
ไม่สู้พี่ได้แล้วเจ้าแก้วตา ฯ


๏ บางกระชับเหมือนกำชับให้กลับหลัง
กำชับสั่งว่าจะคอยละห้อยหา
วานซืนนี้พี่ได้รับกำชับมา
ไม่อยู่ช้ากว่ากำชับจะกลับไป
แต่เป็ดหงส์ลงหาดไม่คลาดคู่
สังเกตดูดังจะพาน้ำตาไหล
เหมือนเสียทีมีเพื่อนไม่เหมือนใจ
ดังดินไร้เส้นหญ้าอนาทร ฯ


๏ ถึงวัดสิงห์สิงสู่อยู่ที่นี่
แต่ใจนี้พี่ไปสิงมิ่งสมร
ถึงตัวจากพรากพลัดกำจัดจร
ยังอาวรณ์หวังเสน่ห์ทุกเวลา ฯ


๏ ถึงวัดท่าท่าน้ำดูฉ่ำชื่น
สำราญรื่นร่มไม้ไทรสาขา
คิดถึงนุชสุดสวาทที่คลาดคลา
จะคอยท่าถามข่าวทุกคราวเครือ ฯ


๏ ถึงบ้านกล้วยกล้วยกล้ายเขารายปลูก
น้ำเต้าลูกเท่ากระติกพริกมะเขือ
กล้วยหักมุกสุกห่ามอร่ามเครือ
อยู่ริมเรือเรียดทางข้างคงคา
คิดถึงเมื่อเรือน้องมาคลองนี้
จะชวนชี้ชมประเทศกับเชษฐา
สะอื้นโอ้โพล้เพล้ถึงเวลา
สกุณาข้ามฝั่งไปรังเรียง
บ้างเริงร้องซ้องแซ่กรอแกรกรีด
หวิวหวิวหวีดเวทนาภาษาเสียง
ลูกอ่อนแอแม่ป้อนชะอ้อนเอียง
บ้างคู่เคียงเคล้าคลอเสียงซอแซ
เอ็นดูนกกกบุตรแล้วสุดเศร้า
เหมือนบุตรเราเคียงข้างไม่ห่างแห
หวนสะอื้นฝืนใจอาลัยแล
ได้เห็นแต่ตาบน้อยละห้อยใจ ฯ


๏ ตะวันรอนอ่อนอับพยับแสง
ดูดวงแดงดังจะพาน้ำตาไหล
ยังรอรั้งสั่งฟ้าด้วยอาลัย
ค่อยไรไรเรืองลับวับวิญญาณ์
พระจันทรจรจำรูญข้างบูรพทิศ
กระต่ายติดแต้มสว่างกลางเวหา
โอ้กระต่ายหมายจันทร์ถึงชั้นฟ้า
เทวดายังช่วยรับประคับประคอง
มนุษย์หรือถือดีว่ามีศักดิ์
มิรับรักเริดร้างให้หมางหมอง
ไม่เหมือนเดือนเหมือนกระต่ายเสียดายน้อง
จึงขัดข้องขัดขวางทุกอย่างไป ฯ


๏ น้ำค้างพรมลมเฉื่อยเรื่อยเรื่อยริ้ว
หนาวดอกงิ้วงิ้วออกดอกไสว
เกสรงิ้วปลิวฟ้ามายาใจ
ให้ทราบในทรวงช้ำสู้กล้ำกลืน
โอ้งิ้วป่าพาหนาวเมื่อคราวยาก
สุดจะฝากแฝงหน้าไม่ฝ่าฝืน
แม้นงิ้วเป็นเช่นงานเมื่อวานซืน
จะชูชื่นช่วยหนาวเมื่อคราวครวญ
โอ้ดูเดือนเหมือนได้ยลวิมลพักตร์
ไม่ลืมรักรูปงามทรามสงวน
กระจ่างแจ้งแสงจันทร์ยิ่งรัญจวน
คะนึงหวนนิ่งนอนอ่อนกำลัง ฯ


๏ ถึงบ้านธรรมศาลาริมท่าน้ำ
เป็นโรงธรรมภาคสร้างแต่ปางหลัง
เดชะคำทำคุณการุณัง
เป็นที่ตั้งศาสนาให้ถาวร
ขอสมหวังดังสวาทอย่าคลาดเคลื่อน
ให้ได้เหมือนหมายรักในอักษร
หนังสือไทยอธิษฐานสารสุนทร
จงถาพรเพิ่มรักเป็นหลักโลม
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย
ให้ละห้อยหวนเห็นเหมือนเช่นโฉม
พอมืดมนฝนพยับอับโพยม
ทรวงจะโทรมเสียเพราะรักที่หนักทรวง ฯ


๏ ถึงถิ่นฐานบ้านเพนียดเป็นเนินสูง
ที่จับจูงช้างโขลงเข้าโรงหลวง
เหตุเพราะนางช้างต่อไปล่อลวง
พลายทั้งปวงจึงต้องถูกมาผูกโรง
โอ้อกเพื่อนเหมือนหนึ่งชายที่หมายมาด
แสนสวาทหวังงามมาตามโขลง
ต้องติดบ่วงห่วงรักชักชะโลง
เสียดายโป่งป่าเขาคิดเศร้าใจ
เข้าจอดท่าหน้าเนินเพนียดช้าง
มีโรงร้างไร้ฝาเข้าอาศัย
พอประทังบังฝนใต้ต้นไทร
พวกผู้ใหญ่หยุดหย่อนเขานอนเรือ
แต่ลูกเล็กเด็กอ่อนนอนชั้นล่าง
น้ำค้างพร่างพรมพราวให้หนาวเหลือ
โอ้รินรินกลิ่นเกสรขจรเจือ
เหมือนกลิ่นเนื้อแนบชิดสนิทใน ฯ


๏ หนาวน้ำค้างพร่างพรมจะห่มผ้า
พออุ่นอารมณ์ระงับได้หลับไหล
ถึงลมว่าวหนาวยิ่งจะผิงไฟ
แต่หนาวใจจากเจ้าให้เศร้าซึม
สงัดเงียบเยียบเย็นทุกเส้นหญ้า
แต่สัตว์ป่าปีบร้องก้องกระหึม
ไม่เห็นหนต้นไม้พระไทรครึม
เสียงงึมงึมเงาไม้พระไทรคะนอง
ทั้งเป็ดผีปี่แก้วแว่วแว่วหวีด
จังหรีดกรีดกรีดเกรียวเสียวสยอง
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรร้อง
แม่ม่ายสองไนเพราะเสนาะใน ฯ


๏ สงสารแต่แม่หม้ายสายสวาท
นอนอนาถหนาวน่าน้ำตาไหล
อ่านหนังสือหรือว่าน้องจะลองใน
เสียดายใจจางจืดไม่ยืดยาว
แม้นยอมใจให้สัตย์จะนัดน้อง
จะร่วมห้องหายหม้ายทั้งหายหนาว
นี่หลงเพื่อนเหมือนเคี้ยวข้าวเหนียวลาว
ลืมข้าวเจ้าเจ้าประคุณที่คุ้นเคย
โอ้คิดอื่นหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน
ที่ร่วมเรือนร่วมเตียงเคียงเขนย
สงัดเสียงเที่ยงคืนเคยชื่นเชย
เมื่อไรเลยจะคืนมาชื่นใจ
จวนจะหลับกลับฝันว่าขวัญอ่อน
แนบฉะอ้อนอุ่นจิตพิสมัย
พี่เคยเห็นเช่นเคยเชยฉันใด
จนชั้นไฝที่ริมปากไม่อยากเฟือน
พอฟื้นกายหายรูปให้งูบง่วง
กำสรดทรวงเสียใจใครจะเหมือน
ยังมีคุ้นอุ่นจิตไม่บิดเบือน
มาเป็นเพื่อนทุกข์ยากเมื่อจากจร
ยังเหลือแต่แพรสีที่พี่ห่ม
ขึ้นประธมจะถวายให้สายสมร
แม้นโฉมงามตามมาจะพาจร
เมื่อขวัญอ่อนขึ้นไปชมประธมทอง
โอ้ยามสามยามจากเคยฝากรัก
ได้ฟูมฟักแฝงเฝ้าเป็นเจ้าของ
มาสูญชาติวาสนาน้ำตานอง
มิได้น้องแนบเชยเหมือนเคยเคียง ฯ


๏ พอรุ่งรางวางเวงเสียงเครงครื้น
ปักษาตื่นต่างเรียกกันเพรียกเสียง
โกกิลากาแกแซ่สำเนียง
สนั่นเพียงพิณพาทย์ระนาดประโคม
กระหึมหึ่งผึ้งบินกินเกสร
ทรวงภมรเหมือนพี่เคยได้เชยโฉม
น้ำค้างชะประเปรยเชยชะโลม
พื้นโพยมแย้มสว่างกระจ่างตา
เสพย์อาหารหวานคาวแต่เช้าชื่น
ยังรวยรื่นรินรินกลิ่นบุปผา
กับพวกพ้องสองบุตรสุดศรัทธา
ขึ้นเดินป่าไปตามทางเสียงวางเวง
กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงเสนาะ
ค้อนทองเคาะค้อนทองเสียงป๋องเป๋ง
เห็นรอยเสือเนื้อตื่นอยู่ครื้นเครง
ให้กริ่งเกรงโห่ฉาวเสียงกราวเกรียว
ต้นกรวยไกรไทรสะแกแคแกรกร่าง
น้ำค้างพร่างพร่างชุ่มชอุ่มเขียว
หนทางอ้อมค้อมคดต้องลดเลี้ยว
พากันเที่ยวชมเนื้อดูเสือดาว
พอแสงแดดแผดร้อนอ่อนอ่อนอุ่น
กระต่ายตุ่นต่างต่างบ้างด่างขาว
สุกรป่าช้ามดเหมือนแมวคราว
เวลาเช้าชักฝูงออกทุ่งนา
เด็กเด็กโดดโลดไล่กระต่ายหลบ
จับประจบหกล้มสมน้ำหน้า
สนุกในไพรพนัสรัถยา
ทั้งบรรดาเด็กน้อยก็พลอยเพลิน ฯ


๏ ครั้นถึงวัดพระประธมบรมธาตุ
สูงทายาทอยู่สันโดษบนโขดเขิน
แลทะมึนทึนเทิ่งดังเชิงเทิน
เป็นโขดเนินสูงเสริมเขาเพิ่มพูน
ประกอบก่อย่อมุมมีซุ้มมุข
บุดีบุกบรรจบถึงนพศูล
เป็นพืดแผ่นแน่นสนิททั้งอิฐปูน
จงเพิ่มพูนพิสดารอยู่นานครัน
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวลอบขอบข้างล่าง
ล้วนรอยกวางทรายเกลื่อนไก่เถื่อนขัน
สะพรั่งต้นคนทาลดาวัลย์
ขึ้นพาดพันพงพุ่มชอุ่มใบ
เห็นห้องหับลับลี้เป็นที่สงฆ์
เที่ยวธุดงค์เดินมาได้อาศัย
พลอยศรัทธาพาเพลินเจริญใจ
ถึงบันไดดูโกรกชะโงกงัน
เห็นสูงสุดหยุดแลชะแง้แหงน
ถึงมาตรแม้นบรรลัยคงไปสวรรค์
ต่างอุตส่าห์พยายามต้องตามกัน
ขึ้นถึงชั้นบนได้จิตใจมา ฯ


๏ สงสารสุดบุตรน้อยก็พลอยขึ้น
ไม่เมื่อยมึนเหมือนผู้ใหญ่ไวหนักหนา
ประนมมือถือประทีปเทียนบูชา
ตั้งวันทาทักษิณด้วยยินดี
ได้สามรอบชอบธรรมเป็นกำหนด
กราบประณตกรประนมก้มเกศี
ถวายธูปเทียนบุปผาสุมาลี
กับเทียนที่ฝากถวายนั้นหลายคน
เจ้าของคิดอธิษฐานที่บ้านแล้ว
จงผ่องแผ้วผิวพักตร์ถึงมรรคผล
ให้ผาสุกทุกสมรอย่าร้อนรน
ประจวบจนจะได้ตรัสด้วยศรัทธา
ฉันรับฝากอยากจะใคร่ได้เป็นญาติ
ทุกทุกชาติไปอย่าขาดเหมือนปรารถนา
ให้รักใคร่ไปทุกวันเห็นทันตา
ไปเบื้องหน้านั้นขอให้บริบูรณ์
สาธุสะพระประธมบรมธาตุ
จงทรงศาสนาอยู่อย่ารู้สูญ
ข้าทำบุญคุณพระช่วยอนุกูล
ให้เพิ่มพูนสมประโยชน์โพธิญาณ ฯ


๏ หนึ่งขอฝากปากคำทำหนังสือ
ให้สืบชื่อชั่วฟ้าสุธาสถาน
สุนทราอาลักษณ์เจ้าจักรพาฬ
พระทรงสารศรีเศวตเกศกุญชร ฯ


๏ อนึ่งมนุษย์อุตริติต่างต่าง
แล้วเอาอย่างเทียบทำคำอักษร
ให้ฟั่นเฟือนเหมือนเราสาปในกาพย์กลอน
ต่อโอนอ่อนออกชื่อจึงลือชา ฯ


๏ อนึ่งหญิงทิ้งสัตย์เราตัดขาด
ถึงเนื้อน้ำธรรมชาติไม่ปรารถนา
ข้างนอกนวลส่วนข้างในใจสุดา
เหมือนปลาร้าร้ายกาจอุจาดจริง
ถึงรูปชั่วตัวดำระยำยาก
รู้รักปากรักหน้าประสาหญิง
ถึงปากแหว่งแข้งคอดไม่ทอดทิ้ง
จะรักยิ่งยอดรักให้หนักครัน
จนแก่กกงกเงิ่นเดินไม่รอด
จะสู้กอดแก้วตาจนอาสัญ
อันหญิงลิงหญิงค่างหญิงอย่างนั้น
ไม่ผูกพันพิศวาสให้คลาดคลา ฯ


๏ ขอเดชะพระมหาอานิสงส์
ซึ่งเราทรงศักราชพระศาสนา
เสน่ห์ไหนให้คนนั้นกรุณา
เหมือนในอารมณ์รักประจักษ์ใจ ฯ


๏ หนึ่งน้องหญิงมิ่งมิตรพิศวาส
ซึ่งสิ้นชาติสิ้นภพสบสมัย
ขอคุณพระอานิสงส์ช่วยส่งไป
ถึงห้องไตรตรึงษ์สถานพิมานแมน ฯ


๏ ที่ยังอยู่คู่เคยไม่เชยอื่น
จงปรากฏยศยืนกว่าหมื่นแสน
มั่งมีมิตรพิศวาสไม่ขาดแคลน
ให้หายแค้นเคืองทั่วทุกตัวคน
นารีใดที่ได้รักแต่ลักลอบ
เสน่ห์มอบหมายรักเป็นพักผล
เผอิญขัดพลัดพรากเพราะยากจน
แบ่งกุศลส่งสุดาทุกนารี
ให้ได้คู่สู่สมภิรมย์รัก
ที่สมศักดิ์สมหน้าเป็นราศี
สืบสกุลพูนสวัสดิ์ในปัถพี
ร่วมชีวีสองคนไปจนตาย
แต่นารีขี้ปดโต้หลดหลอก
ให้ออกดอกทุกวี่วันเหมือนมั่นหมาย
ทั้งลิ้นน้องสองลิ้นเพราะหมิ่นชาย
เป็นแม่หม้ายเท้งเต้งวังเวงใจ
ที่จงจิตพิศวาสอย่าคลาดเคลื่อน
ให้ได้เหมือนหมายมิตรพิสมัย
อย่าหมองหมางห่างเหเสน่ห์ใน
ได้รักใคร่ครองกันจนวันตาย
เป็นคู่สร้างทางกุศลจนสำเร็จ
สรรเพชญ์โพธิญาณประมาณหมาย
ยังมิถึงซึ่งนิพพานสำราญกาย
จะกลับกลายเป็นไฉนอย่าไกลกัน ฯ


๏ แม้นเป็นไม้ให้พี่นี้เป็นนก
ให้ได้กกกิ่งไม้อยู่ไพรสัณฑ์
แม้นเป็นนารีผลวิมลจันทร์
ขอให้ฉันเป็นพระยาวิชาธร
แม้นเป็นบัวตัวพี่เป็นแมงภู่
ได้ชื่นชูสู่สมชมเกสร
เป็นวารีพี่หวังเป็นมังกร
ได้เชยช้อนชมทะเลทุกเวลา
แม้นเป็นถ้ำน้ำใจใคร่เป็นหงส์
จะได้ลงสิงสู่ในคูหา
แม้นเนื้อเย็นเป็นเทพธิดา
พี่ขออาศัยเสน่ห์เป็นเทวัญ
กว่าจะถึงซึ่งมหาศิวาโมกข์
เป็นสิ้นโศกสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์
เสวยสวัสดิ์ชัชวาลนานอนันต์
เหลือจะนับกัปกัลป์พุทธันดร ฯ


๏ โอ้คิดไปใจหายเสียดายนัก
ที่เคยรักเคยเคียงเคยเรียงหมอน
มาวายวางกลางชาติถึงขาดรอน
ให้ทุกข์ร้อนรนร่ำระกำตรอม
ยังเหลือแต่แพรชมพูของคู่ชื่น
ทุกค่ำคืนเคยชมได้ห่มหอม
พี่ย้อมเหลืองเปลื้องปลดสู้อดออม
เอาคลุมห้อมหุ้มห่มประธมทอง
กับแหวนนางต่างหน้าบูชาพระ
สาธุสะถึงเขาผู้เจ้าของ
ได้บรรจงทรงเครื่องให้เรืองรอง
เหมือนรูปทองธรรมชาติสะอาดตา ฯ


๏ แล้วกราบลาพระประธมบรมธาตุ
เลียบลีลาศแลพินิจทุกทิศา
เห็นไรไรไกลสุดอยุธยา
ด้วยสุธาถมสูงที่กรุงไกร
ที่อื่นเตี้ยเรี่ยราบดังปราบเรี่ยม
ด้วยยืนเยี่ยมสูงกว่าพฤกษาไสว
โอ้เวียงวังยังเขม้นเห็นไรไร
แต่สายใจพี่เขม้นไม่เห็นทรง
ยิ่งเสียวเสียวเหลียวย้ายทั้งซ้ายขวา
ล้วนทุ่งนาเนินไม้ไพรระหง
ภูเขาเคียงเรียงรอบเป็นขอบวง
ในแดนดงดูสล้างล้วนยางยูง
ที่ทุ่งโถงโรงเรือนดูเหมือนเขียน
เห็นช้างเจียนจะเท่าหมูด้วยอยู่สูง
เขาต้อนควายหวายผูกจมูกจูง
เป็นฝูงฝูงไรไรทุกไร่นา ฯ


๏ ในอากาศดาดดูล้วนหมู่นก
บ้างเวียนวกวนร่อนว่อนเวหา
เห็นนกไม้ไพรวันอรัญวา
สะอื้นอาลัยเหลียวด้วยเปลี่ยวใจ
บนประธมลมเอื่อยเรื่อยเรื่อยรื่น
กระพือผืนผ้าปลิวหวิวหวิวไหว
เสียงฮือฮือรื้อร่ำยังค่ำไป
อนาถใจจนสะอื้นกลืนน้ำตา
เห็นไรไรไม้งิ้วละลิ่วเมฆ
ดังฉัตรเฉกชื่นชุ่มพุ่มพฤกษา
สูงสันโดษโสดสุดจึงครุฑา
เธอแอบอาศัยสถานพิมานงิ้ว
เห็นไม้งามนามไม้อาลัยมิตร
รำคาญคิดเขินขวยระหวยหิว
ฉิมพลีปลีอ่อนเกสรปลิว
มาริ้วริ้วรื่นรื่นชื่นชื่นใจ ฯ


๏ โอ้ยามจนอ้นอั้นกระสันสวาท
คิดถึงญาติดังจะพาน้ำตาไหล
แกล้งแลเลยเชยชมพนมไพร
พระปรางค์ใหญ่เยี่ยมฟ้าสุธาธาร
ที่ริมรอบขอบคันข้างชั้นล่าง
เอาอิฐขว้างดูทุกคนไม่พ้นฐาน
แลข้างบนคนข้างล่างที่กลางลาน
สุดประมาณหมายหน้านัยน์ตาลาย
แล้วลาพระจะลงดูตรงโตรก
สูงชะโงกเงื้อมไม้จิตใจหาย
เมื่อขึ้นนั้นขั้นกระไดขึ้นง่ายดาย
จะลงเห็นเป็นว่าหงายวุ่นวายใจ
ต้องผินผันหันหลังลงทั้งสิ้น
ถึงแผ่นดินยินดีจะมีไหน
เที่ยวชมวัดทัศนาศาลาลัย
ต้นโพธิ์ไทรสูงสูงทั้งยูงยาง
ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ
มะตูมตาดต้นเอื้องมะเฟืองฝาง
นมสวรรค์ลั่นทมต้นนมนาง
มีต่างต่างตันอกตกตะลึง
นมสวรรค์ฉันดูสู้ไม่ได้
เหมือนเตือนใจให้นึกรำลึกถึง
เห็นเล็บนางหมางเมินเดินรำพึง
ชมกระดึงดอกดวงพวงพะยอม
พิกุลใหญ่ใต้ต้นหล่นแชล่ม
ดูกลีบแซมชื่นเชยระเหยหอม
ผลลูกสุกห่ามงามงามงอม
แต่แตนตอมต่อผึ้งหึ่งหึ่งฮือ
เห็นนกเปล้าเขาไฟฝูงไก่เถื่อน
เที่ยวเดินเกลื่อนกลางดินบ้างบินปรื๋อ
เหล่าลูกเล็กเด็กใหญ่ไล่กระพือ
มันบินหวือว่อนลงข้างดงดอน ฯ


๏ ทั้งสระมีสี่มุมปทุมชาติ
ระดาดาดดอกดวงบัวหลวงสลอน
บ้างร่วงโรยโปรยปรายกระจายจร
หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นลอย
มีเต่าปลาอาศัยอยู่ในน้ำ
บ้างผุดดำโดดคะนองพ่นฟองฝอย
ฝูงกริมกรายรายเรียงขึ้นเคียงคอย
จะคาบสร้อยเสาวคนธ์ว่ายวนเวียน
เหมือนด้วยรักหนักหน่วงไม่ร่วงหล่น
ให้เวียนวนหวั่นจิตตะขวิดตะเขวียน
แสนสนุกรุกขชาติดาษเดียร
เที่ยวเดินเวียนวนชมประธมทอง ฯ


๏ โบสถ์วิหารท่านสร้างแต่ปางก่อน
มีพระนอนองค์ใหญ่ยังไม่หมอง
หลับพระเนตรเกศเกยเขนยทอง
ดูผุดผ่องพูนเพิ่มเติมศรัทธา ฯ


๏ โอ้เอ็นดูหนูตาบจะกราบก้ม
เปลื้องผ้าห่มนอบนบจบเกศา
ขึ้นห่มพระอธิษฐานให้มารดา
พลอยน้ำตาตกพรากเพราะยากเย็น
แม้นยังอยู่คู่เชยไม่เลยละ
มาไหว้พระก็จะพามาให้เห็น
โอ้ชาตินี้มีกรรมจึงจำเป็น
มาแสนเข็ญขาดมิตรสนิทใน
กราบพระเจ้าเศร้าจิตคิดสังเวช
โอ้น้ำเนตรเอ๋ยกลืนก็ขืนไหล
สารพัดตัดขาดประหลาดใจ
ตัดอาลัยตัดสวาทไม่ขาดความ ฯ


๏ แกล้งพูดพาตาเฒ่าพวกชาวบ้าน
คนโบราณรับไปได้ไต่ถาม
เห็นรูปหินศิลาสง่างาม
เป็นรูปสามกษัตริย์ขัตติย์วงศ์
ถามผู้เฒ่าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้
หวังจะให้ทราบความตามประสงค์
ว่ารูปทำจำลองฉลององค์
พระยากงพระยาพานกับมารดา
ด้วยเดิมเรื่องเมืองนั้นถวัลยราชย์
เรียงพระญาติพระยากงสืบวงศา
เอาพานทองรองประสูติพระบุตรา
กระทบหน้าแต่น้อยน้อยเป็นรอยพาน
พอโหรทายร้ายกาจไม่พลาดเพลี่ยง
ผู้ใดเลี้ยงลูกน้อยจะพลอยผลาญ
พระยากงส่งไปให้นายพราน
ทิ้งที่ธารน้ำใหญ่ยังไม่ตาย
ยายหอมรู้จู่ไปเอาไว้เลี้ยง
แกรักเพียงลูกรักไม่หักหาย
ใครถามไถ่ไม่แจ้งให้แพร่งพราย
ลูกผู้ชายชื่นชิดสู้ปิดบัง
ครั้นเติบใหญ่ได้วิชาตาปะขาว
แกเป็นชาวเชิงพนมอาคมขลัง
รู้ผูกหญ้าผ้าพยนต์มนต์จังงัง
มีกำลังลือฤทธิ์พิสดาร
พระยากงลงมาจับก็รับรบ
ตีกระทบทัพย่นถึงชนสาร
ฝ่ายท้าวพ่อมรณาพระยาพาน
จึงได้ผ่านภพผดุงกรุงสุพรรณ
เข้าหาพระมเหสีเห็นมีแผล
จึงเล่าแต่ความจริงทุกสิ่งสรรพ์
เธอรู้ความถามไถ่ได้สำคัญ
ด้วยความนั้นคนเขารู้ทุกผู้คน ฯ


๏ ครั้นถามไถ่ยายหอมก็ยอมผิด
ด้วยปกปิดปฏิเสธซึ่งเหตุผล
เธอโกรธาฆ่ายายนั้นวายชนม์
จึงให้คนก่อสร้างพระปรางค์ประโทน
แทนคุณตามความรักแต่หักว่า
ต้องเข่นฆ่ากันเพราะกรรมเหมือนคำโหร
ที่ยายตายหมายปักเป็นหลักประโคน
แต่ก่อนโพ้นพ้นมาเป็นช้านาน
จึงสำเหนียกเรียกย่านบ้านยายหอม
ด้วยเดิมจอมจักรพรรดิอธิษฐาน
ครั้นเสร็จสรรพกลับมาหาอาจารย์
เหตุด้วยบ้านนั้นมีเนินศีลา
จึงทำเมรุเกณฑ์พหลพลรบ
ปลงพระศพพระยากงพร้อมวงศา
แล้วปลดเปลื้องเครื่องกษัตริย์ขัตติยา
ของบิดามารดรแต่ก่อนกาล
กับธาตุใส่ในตรุบรรจุไว้
ที่ถ้ำใต้เนินพนมประธมสถาน
จึงเลื่องลือชื่อว่าพระยาพาน
คู่สร้างชานเชิงพนมประธมทอง ฯ


๏ ท่านผู้เฒ่าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้
หวังจะให้สูงเสริมเฉลิมฉลอง
ด้วยเลื่อมใสในจิตคิดประคอง
ให้เรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม
ก็จนใจได้แต่คำทำหนังสือ
ช่วยเชิดชื่อท่านผู้สร้างไว้ทั้งสาม
ให้ลือชาปรากฏได้งดงาม
พอเป็นความชอบบ้างในทางบุญ
ถ้าขัดเคืองเบื้องหน้าขออานิสงส์
สิ่งนี้จงจานเจือช่วยเกื้อหนุน
ทั้งแก้วเนตรเชษฐาให้การุญ
อย่าเคืองขุ่นข้องขัดถึงตัดรอน ฯ


๏ แล้วลาออกนอกโบสถ์ขึ้นโขดหิน
ตรวจวารินรดทำคำอักษร
ส่งส่วนบุญสุนทราสถาพร
ถึงบิดรมารดาคุณอาจารย์
ถวายองค์มงกุฎอยุธเยศ
ทรงเศวตคชงามทั้งสามสาร
เสด็จถึงซึ่งบุรีนีรพาน
เคยโปรดปรานเปรียบเปี่ยมได้เทียมคน
สิ้นแผ่นดินปิ่นเกล้ามาเปล่าอก
น้ำตาตกตายน้อยลงร้อยหน
โอ้พระคุณทูลกระหม่อมจอมสกล
พระคุณล้นเลี้ยงเฉลิมให้เพิ่มพูน
ถึงล่วงแล้วแก้วเกิดกับบุญฤทธิ์
ยังช่วยปิดปกอยู่ไม่รู้สูญ
สิ้นแผ่นดินทินกรรอนจำรูญ
ให้เพิ่มพูนพอสว่างหนทางเดิน
ดังจินดาห้าดวงช่วงทวีป
ได้ชูชีพช่วยทุกข์เมื่อฉุกเฉิน
เป็นทำนุอุปถัมภ์ไม่ก้ำเกิน
จงเจริญเรียงวงศ์ทรงสุธา ฯ


๏ อนึ่งน้อมจอมนิกรอัปสรราช
บำรุงศาสนสงฆ์ทรงสิกขา
จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์วัฒนา
ชนมาหมื่นแสนอย่าแค้นเคือง ฯ


๏ ษิโณทกตกดินพอสิ้นแสง
ตะวันแดงดูฟ้าเป็นผ้าเหลือง
เข้าพลบค่ำร่ำรวีราศีประเทือง
ก็จบเรื่องแต่งชมประธมเอย ฯ



ขอบพระคุณ
http://203.172.208.242/tatalad/subject/thai/pu2/www.pixiart.com/archives/soontornpoo/prathom-01.html
no image
  • Blogger Comments
  • Facebook Comments

0 ความคิดเห็น:

Post a Comment

Top